เอเอฟพี - ราคาน้ำมันร่วงลง 1 ดอลลาร์เมื่อวันพุธ (18) ตอบรับข่าวสต๊อกพลังงานสำรองสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดหมายไว้ อันแสดงถึงอุปสงค์ของชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอ่อนแอลง ขณะที่วอลล์สตรีทบวกต่อเนื่อง หลังเฟดประกาศจะอัดฉีดเงินเกือบ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เบรนต์ทะเลเหนือของลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 58 เซนต์ ปิดที่ 47.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีตครูดที่ร่วงลงมีขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯได้เผยแพร่รายงานคลังน้ำมันดิบสำรองประจำสัปดาห์
รายงานกระทรวงพลังงาน (ดีโออี) เปิดเผยว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 มีนาคม มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า
สต๊อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้เชื้อเพลิงด้านยานยนต์เป็นที่จับตามากที่สุด เนื่องจากเวลานี้ชาติผู้บริโภคพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่ฤดูกาลหยุดงานฤดูร้อนในเดือนพฤษภาคม ซึ่งช่วงนั้นอุปสงค์น้ำมันเบนซินมีแนวโน้มถีบตัวสูงขึ้น
ด้านวอลล์สตรีทเหวี่ยงตัวสูงขึ้นในวันพุธ (18) ท่ามกลางภาวะตลาดอันผันผวนที่ได้แรงกระตุ้นจากการตัดสินใจอันน่าประหลาดใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ประกาศอัดฉีดเงินอีก 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ ในความพยายามจุดไฟในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ดีดตัว 90.88 จุด (1.23 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 7,486.58 จุด หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายบวกไปถึง 170 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 16.23 จุด (2.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 794.35 จุด ขณะที่ แนสแดก ปิดตลาด เพิ่มขึ้น 29.11 จุด (1.99 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,491.22 จุด
ตลาดหุ้นในวันพุธ (18) แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ จนกระทั่งเฟดแถลงว่าจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกระลอก ผ่านการซื้อหนี้เสียระยะยาวของรัฐบาล หนี้เสียในตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้เกิดกระแสเงินไหลในระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง