เอเจนซี - ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐแถลงเตือนเกาหลีเหนือเมื่อวันศุกร์(20) ให้ยุติการกระทำอันเป็นการยั่วยุและกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ ระบุความสัมพันธ์กับวอชิงตันจะไม่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ตราบใดที่โสมแดงยังไม่ยุติการคุกคามโสมขาว
คลินตันซึ่งเรียกเกาหลีเหนือเป็น "รัฐทรราช" เน้นย้ำว่า สหรัฐพร้อมที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และทำสนธิสัญญาสันติภาพกับรัฐบาลกรุงเปียงยางตามที่ได้เสนอไว้ก่อนหน้านี้ หากเกาหลีเหนือยอมยุติความพยายามที่จะมีไว้ในครอบครองและสะสมซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียเหนือ
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า ประเด็นสำคัญเบื้องต้นในขณะนี้คือ เกาหลีเหนือจะต้องเร่งรื้อถอนระบบโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดตามข้อตกลงในการเจรจา 6 ฝ่าย และให้สัตยาบันต่อข้อตกลงว่าจะยุติโครงการสร้างอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง
กระบวนการรื้อถอนและการตรวจสอบการรื้อถอน ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ตามข้อตกลงในการเจรจา 6 ฝ่าย กำลังอยู่ในภาวะชะงักงัน เนื่องจากฝ่ายเกาหลีเหนือไม่อนุญาตให้คณะกรรมการตรวจสอบนำวัตถุนิวเคลียร์ออกไปทำการทดสอบในต่างประเทศ
ระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนร่วมกับนายกรัฐมนตรี ยูเมียงฮวาน ของเกาหลีใต้ในกรุงโซลวานนี้ คลินตันได้เน้นย้ำด้วยว่า เกาหลีเหนือจะต้องไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์หรือคุกคามเกาหลีใต้ โดยเฉพาะการข่มขู่จะใช้กำลังทหารโจมตีเกาหลีใต้และการกล่าวหาว่าสหรัฐมีแผนจะโจมตีเกาหลีเหนือด้วยอาวุธนิวเคลียร์
"ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตราบใดที่รัฐบาลกรุงเปียงยางยังไม่ยุติการคุกคามและปฏิเสธที่จะเปิดการเจรจากับเกาหลีใต้ ความมั่งคั่งและความสำเร็จในการพัฒนาประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของรัฐทรราชและความยากจนข้นแค้นทางตอนเหนือของพรมแดน" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าว และว่าการคุกคามในลักษณะดังกล่าวถือเป็นการยั่วยุ ซึ่งจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ความขัดแย้งพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐคนใหม่ โดยเฉพาะกรณีที่เรียกเกาหลีเหนือเป็น "รัฐทรราช" อาจสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้แก่รัฐบาลกรุงเปียงยางได้ โดยที่โสมแดงเคยแสดงปฏิกริยาตอบโต้อย่างแข็งกร้าวมาแล้วในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เรียกเกาหลีเหนือเป็น "ที่มั่นของทรราช"
มูนฮองซิก นักวิจัยของสถาบันยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในกรุงโซลกล่าวว่า ถ้อยแถลงของคลินตันครั้งนี้ อาจได้รับการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวอีกครั้ง รวมทั้งอาจมีการยั่วยุในทางทหารต่อเกาหลีใต้ด้วยก็เป็นได้
ระหว่างการเยือนเกาหลีใต้ครั้งนี้ คลินตันประกาศด้วยว่า เธอได้ตัดสินใจแต่งตั้ง สตีเฟน บอสเวิร์ธ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเกาหลีใต้ เป็นทูตพิเศษสำหรับกิจการเกาหลีเหนือและการเจรจาแก้ไขปัญหาขัดแย้งทางนิวเคลียร์
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี(19) คลินตันก็ได้กล่าวเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองรุนแรงได้ หากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า คิมจองอิล ผู้นำโสมแดงวัย 67 ปี กำลังป่วยหนักด้วยโรคหัวใจนั้นเป็นความจริง
ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า นายพล โอคุกเรียล นายทหารผู้ใกล้ชิดกับคิมจองอิล ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของเกาหลีเหนือ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจเป็นการเตรียมการถ่ายโอนอำนาจของคิมจองอิลก็เป็นได้