เอเจนซี – นักวิเคราะห์ชี้ ผู้ต้องสงสัยลอบวางเพลิง อันเป็นต้นเหตุของไฟป่าครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ซึ่งต้องการความตื่นเต้น ต้องการเป็นที่รู้จัก หรือเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
เดมอน มุลเลอร์ นักวิเคราะห์อาชญากร จากสถาบันอาชญาวิทยาออสเตรเลีย เผยว่า ผู้ต้องสงสัยอาจเป็นคนสันโดษ และอาจมาจากพื้นฐานที่ยากจน และน่าจะมีประวัติความรุนแรง โดยสถิติทางอาชญากรรมชี้ว่า ยากที่จะจับ หรือลงโทษคนๆ นั้น
“การจุดไฟเติมเต็มความต้องการทางจิตของพวกเขา” มุลเลอร์ ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์หาตัวอาชญากรจากเหตุไฟป่า กล่าว
หายนภัยไฟป่าที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลียได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 181 ชีวิต ในรัฐวิกตอเรีย ทางตอนใต้ สร้างความเสียหายในเมืองเล็กๆ จำนวนมาก และทำให้ผู้คนกว่า 5,000 คน ไร้ที่อยู่อาศัย
สถาบันอาชญาวิทยาของออสเตรเลีย ยังพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของเหตุไฟป่าที่เกิดในออสเตรเลียทุกปี เกิดขึ้นจากความจงใจ โดยสร้างความเสียหายสูงถึง 1,600 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี
ขณะที่ โรเบิร์ต ฮีธ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย ชี้ว่า คนร้ายลอบวางเพลิงหลายรายมาจากบริเวณที่ต้นเพลิง ซึ่งบางรายก็มีความพยายามที่จะดับไฟด้วย
“บางคนเป็นทุกข์จากความรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ และการจุดไฟทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสามารถในการควบคุม คนอีกกลุ่มมีการดึงดูดความสนใจทางจิตด้วยไฟ และเห็นสิ่งของไหม้ และกลุ่มที่สามมีความต้องการถูกมองเป็นฮีโร่ และมีแนวโน้มก่อเพลิงไหม้ เพื่อหาโอกาสแสดงความเป็นฮีโร่ได้” ฮีธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากสถิติผู้ที่ถูกจับได้ และถูกลงโทษในข้อหาวางเพลิงนั้น ยังมีผู้หญิงหลายคน ซึ่งอายุเฉลี่ยจะมากกว่าผู้ชาย 3-4 ปี ด้วย
ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีบทลงโทษผู้ก่อเหตุไฟป่า ด้วยการติดคุก 25 ปี ภายใต้กฎหมาย ซึ่งถือว่าการลอบวางเพลิง อยู่ในโทษประเภทเดียวกับการฆาตกรรม แม้ว่ากฎหมายของแต่ละรัฐจะแตกต่างกันไปก็ตาม