เอเอฟพี - ภาคเอกชนของสหรัฐฯ มีคนตกงานไปถึง 693,000 ตำแหน่ง ในเดือนธันวาคม รายงานที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ (7) ฉบับนี้ แสดงให้เห็นว่า ประเทศเจ้าของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้ กำลังดำดิ่งลงไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างน่ากลัว
รายงานเอดีพี เนชั่นแนล เอ็มพลอยเมนท์ ฉบับล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ทำงานนอกภาคเกษตรและว่าจ้างโดยเอกชน มีการตกงานในเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว เป็นจำนวนมากมายกว่าตัวเลข 493,000 ตำแหน่ง ที่พวกนักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนในเดือนพฤศจิกายน รายงานเอดีพีที่มีการปรับตัวเลขใหม่ล่าสุดแล้ว ระบุว่า มีคนตกงาน 476,000 คน โดยส่วนใหญ่จะมาจากบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง
“การจ้างงานที่ลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก แสดงให้เห็นว่า บัดนี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น ได้ลุกลามพ้นเกินพวกโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้านไปแล้ว” เอดีพี ชี้
รายงานชี้ว่า ในเดือนธันวาคม การจ้างงานในภาคบริการนั้นลดลงถึง 473,000 ตำแหน่ง ส่วนในภาคการผลิตสินค้ามีการลดงาน 220,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดต่ำลงเป็นเดือนที่ 23 แล้ว ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมีการปลดคนงานไป 120,000 คน และนับเป็นการลดลงกันติดต่อเป็นเดือนที่ 27ในช่วง 28 เดือนที่ผ่านมา
รายงานของเอดีพี “นั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง” เอียน เชฟเฟิร์ดสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ไฮฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ กล่าว
รายงานของเอดีพีนี้ ออกมาก่อนรายงานเรื่องภาวะการจ้างงานของกระทรวงแรงงาน ซึ่งกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ (9) โดยที่รายงานของกระทรวงจะเสนอตัวเลขที่รวมการจ้างงานของภาครัฐด้วย ไม่ใช่ของภาคเอกชนอย่างเดียว และหลายคนทำนายว่าตัวเลขของทางการในวันศุกร์ น่าจะย่ำแย่กว่านี้เสียอีก
เชฟเฟิร์ดสัน กล่าวว่า จากการที่เอดีพีมีการปรับปรุงวิธีรายงานภาวะการจ้างงานของตนนี้อยู่หลายครั้งในช่วงหลังๆ นี้ หากการปรับดังกล่าวสามารถทำให้ตัวเลขของเอดีพีเป็นไปในทางเดียวกันกับของกระทรวงแรงงาน มากขึ้นกว่าในอดีตแล้ว เราก็ควรคาดได้ว่า ตัวเลขที่จะออกมาในวันศุกร์นี้ น่าจะแสดงว่าในเดือนธันวาคมมีการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 700,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 59 ปีทีเดียว
“แม้กระทั่งเมื่อมองในกรณีที่ดีที่สุดแล้ว มันก็ยังชี้ว่าตัวเลขคนมีงานทำจะลดลงไปราว 568,000 ตำแหน่ง” เขากล่าว
อีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯกำลังหดตัวอย่างแรง ได้แก่ รายงานของ แชลเลนเจอร์, เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านตลาดแรงงาน ที่ระบุว่า บรรดาผู้ว่าจ้างทั้งหลายกำลังจะปลดพนักงานออกอีก 166,348 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม
“นี่เป็นตัวเลขการปลดคนงานในเดือนธันวาคมที่สูงสุดเท่าที่เคยเก็บบันทึกกันมา” รายงานของบริษัทนี้ซึ่งเริ่มจับตามองดูตลาดแรงงานมาตั้งแต่ปี 1993 ชี้
รายงานภาวะการจ้างงานอันมืดมนทั้ง 2 ฉบับที่ออกมาในวันพุธ เมื่อบวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคและของบริษัทต่างๆ ที่ล้วนออกมาย่ำแย่ ทำให้บรรดานักลงทุนเกิดความวิตกและเทขายหุ้นออกมา ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงไปปิดวันพุธติดลบ 245.40 จุด หรือ 2.72%
ตอนนี้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯนั้น พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 6.7% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 1993 คิดเป็นจำนวนคนตกงานเกือบ 3 ล้านคนนับตั้งแต่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา
การว่างงานที่ลดลงอย่างรุนแรง ทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 เดือนนี้วางแผนจะออกมาตรการสร้างงานใหม่หรือรักษาตำแหน่งงานเดิมไว้ให้ได้ 3 ล้านตำแหน่ง โดยที่มากกว่า 80% จะอยู่ในภาคเอกชน
รายงานเอดีพี เนชั่นแนล เอ็มพลอยเมนท์ ฉบับล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ทำงานนอกภาคเกษตรและว่าจ้างโดยเอกชน มีการตกงานในเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว เป็นจำนวนมากมายกว่าตัวเลข 493,000 ตำแหน่ง ที่พวกนักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนในเดือนพฤศจิกายน รายงานเอดีพีที่มีการปรับตัวเลขใหม่ล่าสุดแล้ว ระบุว่า มีคนตกงาน 476,000 คน โดยส่วนใหญ่จะมาจากบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง
“การจ้างงานที่ลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก แสดงให้เห็นว่า บัดนี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น ได้ลุกลามพ้นเกินพวกโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้านไปแล้ว” เอดีพี ชี้
รายงานชี้ว่า ในเดือนธันวาคม การจ้างงานในภาคบริการนั้นลดลงถึง 473,000 ตำแหน่ง ส่วนในภาคการผลิตสินค้ามีการลดงาน 220,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดต่ำลงเป็นเดือนที่ 23 แล้ว ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมีการปลดคนงานไป 120,000 คน และนับเป็นการลดลงกันติดต่อเป็นเดือนที่ 27ในช่วง 28 เดือนที่ผ่านมา
รายงานของเอดีพี “นั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง” เอียน เชฟเฟิร์ดสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ไฮฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ กล่าว
รายงานของเอดีพีนี้ ออกมาก่อนรายงานเรื่องภาวะการจ้างงานของกระทรวงแรงงาน ซึ่งกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ (9) โดยที่รายงานของกระทรวงจะเสนอตัวเลขที่รวมการจ้างงานของภาครัฐด้วย ไม่ใช่ของภาคเอกชนอย่างเดียว และหลายคนทำนายว่าตัวเลขของทางการในวันศุกร์ น่าจะย่ำแย่กว่านี้เสียอีก
เชฟเฟิร์ดสัน กล่าวว่า จากการที่เอดีพีมีการปรับปรุงวิธีรายงานภาวะการจ้างงานของตนนี้อยู่หลายครั้งในช่วงหลังๆ นี้ หากการปรับดังกล่าวสามารถทำให้ตัวเลขของเอดีพีเป็นไปในทางเดียวกันกับของกระทรวงแรงงาน มากขึ้นกว่าในอดีตแล้ว เราก็ควรคาดได้ว่า ตัวเลขที่จะออกมาในวันศุกร์นี้ น่าจะแสดงว่าในเดือนธันวาคมมีการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 700,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 59 ปีทีเดียว
“แม้กระทั่งเมื่อมองในกรณีที่ดีที่สุดแล้ว มันก็ยังชี้ว่าตัวเลขคนมีงานทำจะลดลงไปราว 568,000 ตำแหน่ง” เขากล่าว
อีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯกำลังหดตัวอย่างแรง ได้แก่ รายงานของ แชลเลนเจอร์, เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านตลาดแรงงาน ที่ระบุว่า บรรดาผู้ว่าจ้างทั้งหลายกำลังจะปลดพนักงานออกอีก 166,348 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม
“นี่เป็นตัวเลขการปลดคนงานในเดือนธันวาคมที่สูงสุดเท่าที่เคยเก็บบันทึกกันมา” รายงานของบริษัทนี้ซึ่งเริ่มจับตามองดูตลาดแรงงานมาตั้งแต่ปี 1993 ชี้
รายงานภาวะการจ้างงานอันมืดมนทั้ง 2 ฉบับที่ออกมาในวันพุธ เมื่อบวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคและของบริษัทต่างๆ ที่ล้วนออกมาย่ำแย่ ทำให้บรรดานักลงทุนเกิดความวิตกและเทขายหุ้นออกมา ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงไปปิดวันพุธติดลบ 245.40 จุด หรือ 2.72%
ตอนนี้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯนั้น พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 6.7% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 1993 คิดเป็นจำนวนคนตกงานเกือบ 3 ล้านคนนับตั้งแต่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา
การว่างงานที่ลดลงอย่างรุนแรง ทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 เดือนนี้วางแผนจะออกมาตรการสร้างงานใหม่หรือรักษาตำแหน่งงานเดิมไว้ให้ได้ 3 ล้านตำแหน่ง โดยที่มากกว่า 80% จะอยู่ในภาคเอกชน