บีบีซีนิวส์/ อัลญะซีเราะห์ - ผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) เห็นพ้องต้องกันว่า จะไม่ตอบโต้วิกฤติการเงิน ซึ่งกำลังรุมเร้าทั่วโลกอยู่ขณะนี้ ด้วยการเพิ่มมาตรการกีดกันการค้าตลอดทั้งปีหน้า
ในคำแถลง ซึ่งเผยแพร่ในการประชุมกลุ่มเอเปก ณ กรุงลิมา ของเปรู บรรดาผู้นำกล่าวว่า ระบบคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ มีแต่จะทำให้สถาการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว เลวร้ายลงอีกเท่านั้น
ด้านจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เรียกร้องให้ประชาคมเอเปก ซึ่งครอบครองกิจกรรมทางเศรษฐกิจราวครึ่งหนึ่งของโลก ยึดหลักการตลาดเสรีในการคลี่คลายวิกฤตเศรฐกิจ
การแสดงความเห็นดังกล่าวของประธานาธิบดีบุช มีขึ้นหลังจากเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ยอมรับกับรัฐสภาอเมริกันเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจโลกว่า ตัวเองผิดพลาด "เป็นบางส่วน"ที่เคยต่อต้านไม่ให้จัดระเบียบเข้ากำกับตรวจสอบหลักทรัพย์บางประเภท อันเป็นการอ้างถึงระบบการเปิดเสรีแบบปล่อยปละ
"อันตรายมาก ๆ ที่ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาจนำไปสู่การเรียกร้องให้ใช้มาตรการกีดกันการค้า ซึ่งมีแต่จะทำให้วิกฤตการเงินในปัจจุบันเลวร้ายลงเท่านั้น" ผู้นำเอเปกกล่าวในคำแถลงร่วม
นอกจากนี้ ผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยังให้การสนับสนุนข้อตกลงของกลุ่มจี 20 ซึ่งประกอบด้วย 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 7), ชาติอุตสาหกรรมอื่นๆ, ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และชาติกำลังพัฒนารายใหญ่ๆ ที่กรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
"เราสนับสนุนข้อตกลงของกลุ่มจี 20 และเห็นพร้อมต้องกันว่า ภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า จะระงับการเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้า ในการลงทุนและขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ตลอดจนการการกำหนดกฎควบคุมการส่งออกด้วย" จากคำแถลงของกลุ่มเอเอปก
ผู้นำเอเปกบอกด้วยว่า จะผลักดันการบรรลุข้อตกลงในเดือนหน้าในการร่างข้อตกลงการเจรจาการค้าเสรีรอบโดฮา ซึ่งหยุดชะงักลง