เอเจนซี - บรรดานักลงทุนระดับสถาบันทั่วโลก ซึ่งรวมกันแล้วกำลังถือครองสินทรัพย์ต่างๆ มูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ วานนี้ (11) ออกมาเรียกร้องผลักดันผู้วางนโยบายของทั่วโลก ให้เร่งรีบทำข้อตกลงผูกพันเพื่อตัดลดการปล่อยก๊าซปฏิกิริยาเรือนกระจก และส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นักลงทุนรายบิ๊กเบิ้มเหล่านี้มากกว่า 130 ราย อาทิ องค์การกองทุนบำนาญลอนดอน (London Pensions Fund Authority),กองทุนเงินบำนาญลูกจ้างภาครัฐมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลเปอร์ส) ต้องการให้ประเทศต่างๆ ทำสัญญากันเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ลงมาให้ได้ราว 50-80% ภายในปี 2050 ตัวเลขเช่นนี้นับว่าสอดคล้องกับนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น นักลงทุนเหล่านี้ยังต้องการให้ผู้วางนโยบายของทั่วโลก จัดทำเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกทั้งระยะกลางและระยะยาวสำหรับพวกประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนตลาดซื้อขายคาร์บอนทั่วโลกให้ขยายตัวและมีสภาพคล่องยิ่งขึ้น
เวลานี้พวกนักลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ เป็นต้นว่า แคลเปอร์ส ซึ่งบริหารจัดการสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่า 185,600 ล้านดอลลาร์ ก็กำลังเรียกร้องให้อเมริกาออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ และที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งยังเรียกร้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) บังคับให้พวกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นต้องเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ เฉกเช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆ ซึ่งมีส่วนกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา
"ในฐานะที่เป็นนักลงทุนสถาบัน พวกเรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะบังเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก และต่อพอร์ตการลงทุนซึ่งกระจายตัวหลายหลากของพวกเรา" ไมก์ เทย์เลอร์ ซีอีโอขององค์การบำนาญกองทุนลอนดอนกล่าว
กลุ่มนักลงทุนระดับบิ๊กเหล่านี้ ต้องการให้ประเทศต่างๆ ลงนามในข้อตกลงผูกพันฉบับใหม่ ที่จะนำมาใช้แทนต่อจาก "พิธีสารเกียวโต"ที่ใกล้จะหมดอายุลง และหวังให้การแสดงทัศนะของพวกตนเป็นที่รับฟัง ก่อนหน้าการประชุมระหว่างประเทศเรื่องโลกร้อนครั้งสำคัญ ซึ่งจะจัดขึ้นที่โปแลนด์ในเดือนหน้า
นักลงทุนรายบิ๊กเบิ้มเหล่านี้มากกว่า 130 ราย อาทิ องค์การกองทุนบำนาญลอนดอน (London Pensions Fund Authority),กองทุนเงินบำนาญลูกจ้างภาครัฐมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลเปอร์ส) ต้องการให้ประเทศต่างๆ ทำสัญญากันเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ลงมาให้ได้ราว 50-80% ภายในปี 2050 ตัวเลขเช่นนี้นับว่าสอดคล้องกับนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น นักลงทุนเหล่านี้ยังต้องการให้ผู้วางนโยบายของทั่วโลก จัดทำเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกทั้งระยะกลางและระยะยาวสำหรับพวกประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนตลาดซื้อขายคาร์บอนทั่วโลกให้ขยายตัวและมีสภาพคล่องยิ่งขึ้น
เวลานี้พวกนักลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ เป็นต้นว่า แคลเปอร์ส ซึ่งบริหารจัดการสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่า 185,600 ล้านดอลลาร์ ก็กำลังเรียกร้องให้อเมริกาออกกฎหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ และที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งยังเรียกร้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) บังคับให้พวกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นต้องเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ เฉกเช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆ ซึ่งมีส่วนกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา
"ในฐานะที่เป็นนักลงทุนสถาบัน พวกเรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะบังเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก และต่อพอร์ตการลงทุนซึ่งกระจายตัวหลายหลากของพวกเรา" ไมก์ เทย์เลอร์ ซีอีโอขององค์การบำนาญกองทุนลอนดอนกล่าว
กลุ่มนักลงทุนระดับบิ๊กเหล่านี้ ต้องการให้ประเทศต่างๆ ลงนามในข้อตกลงผูกพันฉบับใหม่ ที่จะนำมาใช้แทนต่อจาก "พิธีสารเกียวโต"ที่ใกล้จะหมดอายุลง และหวังให้การแสดงทัศนะของพวกตนเป็นที่รับฟัง ก่อนหน้าการประชุมระหว่างประเทศเรื่องโลกร้อนครั้งสำคัญ ซึ่งจะจัดขึ้นที่โปแลนด์ในเดือนหน้า
