เอเอฟพี - ราคาน้ำมันทำสถิติร่วงลงแรงที่สุดภายในวันเดียวในรอบ 17 ปี ณ ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร (15) ท่ามกลางความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่อาจทำให้ความต้องการน้ำมันลดลง
สัญญาซื้อขายน้ำมันหลักของนิวยอร์ก น้ำมันดิบไลท์สวีท งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมในตลาดไนเม็กซ์ ดิ่งลง 6.44 ดอลลาร์ไปปิดตลาดที่ 138.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าร่วงลงแรงที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1991
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ในตลาดลอนดอนงวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ตกลงไป 5.17 ดอลลาร์ปิดตลาดที่ 138.75 ดอลลาร์
การปรับตัวอย่างแรงครั้งนี้ เป็นผลจากคำชี้แจงของเบน เบอร์แนงกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจรอบครึ่งปีของสหรัฐฯ ต่อคณะกรรมาธิการการเงินของสภาคองเกรสเมื่อวันอังคาร บวกกับการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการน้ำมันโดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก
ผู้ค้ายังคงกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะว่าประเทศแห่งนี้คือผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก โดยนำเข้าน้ำมันเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมดที่ผลิตออกมาของโลก
การซื้อขายในตลาดน้ำมันเกิดการผันผวนอย่างมากในวันอังคาร เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันกระโดดทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ค้ากังวลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเทียบกับยูโร
โอเปก กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ได้ทำนายปรับลดตัวเลขความต้องการน้ำมันโลกที่เดิมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.28% เป็นเพิ่มขึ้นเพียง 1.20% ในปีนี้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวและราคาน้ำมันแพง โดยความต้องการน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 86.81 ล้านบาร์เรลในปี 2551 จากระดับ 85.78 ล้านบาร์เรลเมื่อปีที่แล้ว
เบอร์แนงกี้ ย้ำว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ไม่แน่นอน จากวิกฤติซับไพร์ม ที่ยังคงบั่นทอนเสถียรภาพสถาบันการเงินของประเทศ และยังมีปัญหาเรื่องอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาอย่างหนักด้วย
ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ บอกต่อว่า สถานการณ์น้ำมันและอาหารราคาแพง ก็ทำให้ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งสภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เฟดต้องทำงานอย่างหนักและรอบคอบอย่างยิ่ง ในการกำหนดนโยบายการเงินต่างๆ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อพุ่งสูงเกินไป