เอเอฟพี - พรรคอัมโน แกนนำรัฐบาลมาเลเซีย วานนี้ (20) เร่งเคลื่อนไหวจำกัดความเสียหายจากการที่อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งทำให้หวาดเกรงกันว่าอาจมีผู้กระทำตามจำนวนมาก จนสั่นคลอนรัฐบาล
มหาเธร์ แถลงการลาออกเมื่อวันจันทร์ (19) แถมชักชวนสมาชิกพรรคอัมโนคนอื่นๆ เดินตามรอยเขา เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ต้องลาออกจากตำแหน่ง ภายหลังนำพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
พรรคอัมโนได้เรียกประชุมฉุกเฉินวานนี้ หลังจากนั้น บรรดาผู้นำพรรคแถลงว่า ส.ส.อัมโนทุกคนต่างให้คำมั่นที่จะภักดีต่ออุบดุลเลาะห์
“ไม่มีใครที่มีสิทธิใช้กลยุทธ์สกปรกเช่นนี้มากดดันให้ผู้นำประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยต้องลาออก นี่เป็นการแบล็กเมล์พรรค” นาซรี อาซิส สมาชิกอาวุโสของอัมโนซึ่งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลปัจจุบันด้วย บอกกับผู้สื่อข่าว
เขากล่าวต่อไปว่า การท้าทายเช่นนี้เป็น “การทดสอบความศรัทธา” ของ ส.ส.พรรคอัมโน แต่ไม่มีใครคิดจะลาออกจากพรรคซึ่งเป็นแกนนำการของรัฐบาลผสมมาเลเซียทุกชุด นับตั้งแต่ประกาศเอกราชเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ทางด้าน มุคริซ ซึ่งเป็นบุตรชายของมหาเธร์ และเป็นสมาชิกอาวุโสในฝ่ายเยาวชนของอัมโน ก็ได้แถลงวานนี้ว่า เขาจะไม่ลาออกจากพรรค อันเป็นการตัดสินใจที่น่าจะส่งผลเสียหายต่อความพยายามของบิดาของเขา
มุคริซ บอกว่า แทนที่จะลาออกไป เขาจะยังคงรณรงค์จากภายในพรรคอัมโน เพื่อกดดันให้อบดุลเลาะห์ลงจากเก้าอี้ พร้อมกับคุยด้วยว่า เขาได้รับการหนุนหลังจากบุคคลระดับสูงสุดของพรรค
ขณะที่พวกผู้นำอาวุโสหลายๆ คนในอัมโน อาทิ รัฐมนตรีต่างประเทศ ราอิส ยาติม ได้ออกมาเรียกร้องให้มหาเธร์และอับดุลเลาะห์เจรจากันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองซึ่งกำลังทำลายพรรคอยู่ในขณะนี้
“นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่ามันออกจะช้าไปเสียแล้ว” ยาติมกล่าวที่สิงคโปร์เมื่อคืนวันจันทร์ และเสริมว่า
“ช่วงเวลาสำคัญใน 2-3 สัปดาห์หน้า เราได้เห็นกันว่ามีใครบ้างที่จะเดินตามรอยเขา และขณะนี้เรามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้พรรคอัมโนเกิดความแตกแยก”
ส่วน อันวาร์ อิบรอฮิม ผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญซึ่งเคยถูกมหาเธร์ไล่ออกเมื่อปี 1988 และต้องโทษจำคุกในคดีคอร์รัปชัน และมีความเบี่ยงเบนทางเพศ ก็ฉวยโอกาสนี้โจมตีพรรคอัมโนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตถึงขั้นที่ยากจะเยียวยาได้ เพราะพวกผู้นำพรรคคอยแต่จะทะเลาะกันเอง โดยไม่ได้แยแสเรื่องความเป็นอยู่ของชาวมาเลเซียแต่อย่างใด