เอเอฟพี/ สตาร์ - อดีตนายกรัฐมนตรีปากกรรไกร มหาเธร์ โมฮัมหมัดของมาเลเซีย ออกโรงสวดรัฐบาลชุดปัจจุบันที่จัดทำโครงการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษประชิดชายแดน เพื่อดึงดูดนักลงทุนชาวสิงคโปร์ โดยกล่าวเตือนว่า นักลงทุนกระเป๋าหนักชาวสิงคโปร์ จะมาไล่ที่คนมาเลเซียให้ต้องไปอยู่ตามป่าเขา
รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาห์ อาหมัด บาดาวี ชุดปัจจุบันของมาเลเซีย ได้ริเริ่มโครงการ “อิสกันดาร์ มาเลเซีย” ตั้งแต่ปี 2006 ด้วยความมุ่งหมายที่จะสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นในพื้นที่ตอนใต้สุดของรัฐยะโฮร์ บริเวณตรงข้ามกันคนละฝั่งช่องแคบกับประเทศสิงคโปร์ โดยคาดหวังที่จะเปลี่ยนพื้นที่ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศอันงดงามดังกล่าว ให้กลายเป็นมหานครที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสามารถแข่งขันกับสิงคโปร์ทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและธุรกิจด้านลอจิสติกส์
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์มหาเธร์ กล่าวว่า เงินลงทุนในโครงการดังกล่าวที่สูงถึง 17,700.ล้านริงกิต (4,800 ล้านดอลลาร์) นั้น พุ่งเป้าไปที่การดึงนักลงทุนจากสิงคโปร์เข้ามามากกว่า ขณะที่จะเป็นการผลักไสชาวมาเลย์ให้หนีไปอยู่ที่อื่น
“หลังจากขายที่ดินไปแล้ว ชาวมาเลย์ก็จะถูกกดดันให้ไปอยู่กันตามชายป่าหรือแม้แต่ข้างในผืนป่าเลยทีเดียว” หนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ รายงานคำปราศรัยของมหาเธร์ ที่รัฐยะโฮร์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ในท้ายที่สุดพื้นที่โครงการอิสกันดาร์ มาเลเซียจะมีแต่นักลงทุนสิงคโปร์เต็มไปหมด และมีชาวมาเลย์เพียงแค่ราว 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น” อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวต่อ
มหาเธร์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ ได้ยกเลิกโครงการขนาดยักษ์หลายโครงการ ซึ่งมหาเธร์อนุมัติเอาไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของเขา อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมรัฐยะโฮร์กับสิงคโปร์
อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนดัง ยังใช้การปราศรัยคราวนี้ที่เขาขึ้นพูดในนามของประธานกรรมการองค์การสันติภาพโลกเปอร์ดานา มาประณามการที่รัฐบาลอับดุลเลาะห์ยินยอมให้บริษัท “ฮาลลิเบอร์ตัน” อันเป็นกลุ่มกิจการบริการอุตสาหกรรมน้ำมันรายยักษ์ของสหรัฐฯ เข้ามาสร้างโรงงานมูลค่า 200 ล้างริงกิตในอิสกันดาร์ มาเลเซีย
มหาเธร์ บอกว่า มีชาวอิรักกว่าหนึ่งล้านคนที่เสียชีวิตจากการที่สหรัฐฯ บุกอิรัก และฮาลลิเบอร์ตันเป็นบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ประโยชน์มหาศาล จากการที่สหรัฐฯ เข้าควบคุมการขนส่งน้ำมันในเขตเอเชียตะวันตก ดังนั้นรัฐบาลมาเลเซียจึงไม่ควรอนุญาตให้มีการนำกำไรจากการทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ มาลงทุนในมาเลเซีย
**ท้ารัฐบาลให้ฟ้องศาล**
อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวท้าทายรัฐบาลให้ฟ้องร้องเขาต่อศาล ตามผลสรุปของคณะกรรมการสอบสวนแห่งรัฐ ที่ดำเนินการสอบสวนกรณีอื้อฉาวเรื่องซื้อตำแหน่งผู้พิพากษา โดยมหาเธร์ประกาศว่า ถ้าหากเขาถูกฟ้องศาล ก็จะเป็นโอกาสให้เขาได้เปิดโปงเรื่องราวต่างๆ มากมายในแวดวงยุติธรรม
“ผมหวังว่าการสอบสวนจะไม่จบลงด้วยการที่ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็จะไม่มีโอกาสได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมา
“ผมต้องการโอกาสที่จะบอกเล่าเรื่องที่ผู้พิพากษาหลายคนได้เคยมาหาผมเพื่อมาวิ่งเต้นล็อบบี้ และถ้าการวิ่งเต้นล็อบบี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องแล้ว ผู้พิพากษาเหล่านี้ก็ควรต้องถูกสอบสวนด้วย” มหาเธร์บอก
เขาพูดเรื่องนี้เมื่อถูกผู้สื่อข่าวสอบถามความเห็น จากการที่คณะกรรมการสอบสวนแห่งรัฐได้สรุปผลสอบสวนออกมาว่า พบหลักฐานว่ามหาเธร์และคนอื่นๆ อันได้แก่ ดาโต๊ะ วี เค ลิงกัม ทนายความของมหาเธร์,ตันศรี วินเซนต์ ตัน มหาเศรษฐีชื่อดัง,ดาโต๊ะ ศรี เต็งกู อัดนัน เต็งกู มันโซร์เลขาธิการพรรคอัมโน และอดีตประธานศาลสูงสุดอีก 2 คน คือ ตุน ยูซุฟ ชิน และตุน อามัด ไฟรุส ชีค อับดุล ฮาลิม มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกันในการแทรกแซงการแต่งตั้งผู้พิพากษา
มหาเธร์ กล่าวว่า หากเขาขึ้นเบิกความในศาล เขาจะเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการแบบเดียวกันนี้อีกหลายๆ ชุด โดยที่ชุดหนึ่งควรดำเนินการสอบสวนนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์
“ในอังกฤษมีการสอบสวนแบลร์ (โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ) จนเขาต้องลาออกไป" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังเข้าร่วมในเวทีประชุมเสวนาว่าด้วยการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจัดโดยกลุ่มรากหญ้าของพรรคอัมโนในรัฐยะโฮร์ และ MYKMU.NET เมื่อวันเสาร์ (17)
เขาบอกว่า ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ มีผู้ที่เคยมาล็อบบี้เขาเพื่อขอตำแหน่งรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก แต่การแต่งตั้งใครนั้น เขาจะเป็นผู้ประเมินตัวคุณสมบัติของบุคคลผู้นั้นว่าเหมาะสมหรือไม่