xs
xsm
sm
md
lg

อึ้ง! มหาเศรษฐีแดนหมีขาวมีเงินพันล้าน$ ยังไม่ติดอันดับ 1 ใน 100

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โอเลก เดรีปาสกา เจ้าของบริษัทผลิตอลูมิเนียม มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในรัสเซีย
เอเจนซี – ต่อไปนี้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คงไม่เพียงพอที่จะทำให้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบคนรวยของแดนหมีขาวอีกต่อไป หลังจากมหาเศรษฐีพันล้าน 10 คนไม่ติดอันดับ 1 ใน 100 คนรัสเซียที่รวยที่สุดของนิตยสารฟอร์บส์ได้

โอเลก เดรีปาสกา ผู้ควบคุมบริษัทผลิตอลูมิเนียม ยูไนเต็ด คอมพานี รูซัล ท่ามกลางเจ้าของโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพย์สินทางการเงิน ได้ที่ 1 ในอันดับของฟอร์บส์ ด้วยทรัพย์สิน 28,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ามูลค่าในปีที่แล้วของเขา 11,800 ล้านดอลลาร์ทีเดียว

นอกจากนี้ เดรีปาสกายังเข้ามาแทนตำแหน่งของเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซี เสี่ยหมี โรมัน อับราโมวิช ซึ่งตกไปอยู่ในอันดับ 3 โดยมีอเล็กเซย์ มอร์ดาชอฟ เจ้าของซีเวอร์สตัล บริษัทผู้ผลิตเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียได้ตำแหน่งที่ 2 คั่นกลางทั้งคู่

“หลังจากยูคอสล้มละลาย และสถานะของภาคพลังงานของประเทศแข็งขึ้น เราสามารถนับจำนวนมหาเศรษฐพันล้านจากน้ำมัน และก๊าซด้วยมือข้างหนึ่งได้เลย และคนร่ำรวยสำคัญๆ นั้นขณะนี้กระจุกตัวอยู่ในภาคโลหะ การเงิน และอสังหาริมทรัพย์” แม็กซิม คาชูลินสกี บรรณาธิการนิตยสารฟอร์บส์ ฉบับรัสเซีย กล่าวในแถลงการณ์ที่ปรากฏในนิตยสารฉบับเดือนพฤษภาคม

ทั้งนี้ มอร์ดาชอฟเป็นผู้ที่หาทรัพย์สินมาได้มากที่สุดในจำนวนมหาเศรษฐีรัสเซียทั้งหมด โดยมีทรัพย์สินเพิ่มมา 12,400 ล้านดอลลาร์ ทำให้ทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเป็น 24,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ เสี่ยหมี ในอันดับ 3 มีทรัพย์สิน 24,300 ล้านดอลลาร์ และวลาดิมีร์ ลิซิน เจ้าของบริษัทโนโวลิเพตสก์ สตีลอยู่ในอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 23,900 ล้านดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น ฟอร์บส์ยังระบุในแถลงการณ์ดังกล่าวว่า เมื่อรวมทรัพย์สินของบุคคลที่รวยที่สุดในรัสเซีย 100 คน มีมูลค่าถึง 522,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.8 เท่าของมูลค่าโดยรวมเมื่อปี 2004 ซึ่งเป็นฉบับแรกของฟอร์บส์ ที่ตีพิมพ์ในรัสเซีย

ขณะนี้ รัสเซียมีมหาเศรษฐีพันล้านมากกว่าปีที่ที่ผ่านมา 50 คน คือมี 110 คน จาก 60 คน โดยในปีนี้ผู้ที่จะติดอันดับ 1 ใน 100 จะต้องมีทรัพย์สินอย่างต่ำ 1,100 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ต้องการเพียง 660 ล้านเท่านั้น

สำหรับ เหตุผลที่มหาเศรษฐีพันล้านมีทรัพย์สินมากขึ้นนั้น ฟอร์บส์ระบุว่า เนื่องมาจากความตกต่ำของค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ นั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น