เอเจนซี/เอเอฟพี – ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 103 ดอลลาร์ ทุบสถิติเดิมเมื่อ 28 ปีที่แล้ว หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่ำสุดทำสถิติอีกครั้ง เมื่อเทียบกับเงินยูโร อีกทั้งยังเกิดเพลิงไหม้ที่สถานีจ่ายก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน ในตลาดไนเม็กซ์ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดี (28) ในช่วงหนึ่งมีราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ 102.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ที่ 102.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อปี1980 หลังเกิดการปฏิวัติอิหร่าน
ต่อมา ในช่วงปิดตลาด ราคาสัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูดได้ลงมาปิดตลาดที่ 102.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งยังถือเป็นราคาปิดสูงสุดทำสถิติใหม่ และเพิ่มขึ้น 2.95 ดอลลาร์ จากราคาปิดตลาดนิวยอร์ก เมื่อวันพุธ (27)
ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนต์ สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน มีอยู่ช่วงหนึ่งมีราคาพุ่งทำสถิติที่ 101.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะลดลงมาปิดตลาดที่ 100.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.63 ดอลลาร์ จากราคาปิดที่ลอนดอน เมื่อวันพุธ
ต่อมา ในการซื้อขายภาคเช้าที่ตลาดในสิงคโปร์ เมื่อวันศุกร์ (29) สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูดมีราคาพุ่งทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ 103.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ต่อมาก็ลดลงมาซื้อขายกันที่ 102.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 4 เซ็นต์ จากราคาปิดที่ตลาดนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดี ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนต์มีราคาลดลง 6 เซ็นต์ จากราคาปิดที่ตลาดลอนดอน เมื่อวันพฤหัสบดีเช่นกัน มาอยู่ที่ 100.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
วิกเตอร์ ชัม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อาวุโส แห่งบริษัทเปอร์วินแอนด์เกิร์ตซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน กล่าวว่า “ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงทำสถิติใหม่ในช่วงเดียวกับกระแสเงินของนักลงทุนไหลบ่าเข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สืบเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนยวบและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ
ค่าเงินดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี อ่อนลงทำสถิติต่ำสุดอีกครั้ง โดย 1 ยูโร แลกได้ 1.52 ดอลลาร์ หลังจากที่เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า สหรัฐฯจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะ “Stagflation” หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็พุ่งสูง ทว่า การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกพุ่งสูงจะทำให้ความพยายามของเฟดในการประคับประคองเศรษฐกิจ ประสบกับความยุ่งยากมากขึ้น
คำกล่าวของเบอร์นันกีไม่ได้ทำให้นักลงทุนหยุดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเฟดทำเช่นนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้น้ำมันซึ่งซื้อขายกันด้วยเงินสกุลดอลลาร์ มีราคาถูกลง สำหรับผู้ที่ถือเงินสกุลอื่น สิ่งนี้จะทำให้ดีมานด์น้ำมันเพิ่มขึ้น
ทางด้านเนาแมน บารากัต รองประธานอาวุโสแห่งบริษัทแมคไควรี ฟิวเจอร์ส ยูเอสเอ กล่าวว่า “ความซับซ้อนด้านพลังงานก็คือเรื่องเงินดอลลาร์และภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่นักลงทุนพากันย้ายมาลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ”
สตีเฟน ชอร์ก บรรณาธิการของชอร์ก รีพอร์ต ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์พลังงาน จัดส่งให้กับลูกค้า กล่าวว่า “พวกเก็งกำไรครองตลาดนี้ พวกเขากำลังดันราคาให้สูงขึ้นตราบเท่าที่พวกเขามองว่า ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม”
นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าต่ำสุดทำสถิติแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี เกิดเพลิงไหม้ที่สถานีจ่ายก๊าซธรรมชาติ แบคตัน ก๊าซ เชลล์ ในเมืองนอร์โฟล์ก อังกฤษ ทำให้ซัปพลายก๊าซจากสถานีดังกล่าวลดลงถึง 45 ล้านลูกบาศก์เมตร มีผลทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงเช่นกัน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน ในตลาดไนเม็กซ์ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดี (28) ในช่วงหนึ่งมีราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ 102.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ที่ 102.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อปี1980 หลังเกิดการปฏิวัติอิหร่าน
ต่อมา ในช่วงปิดตลาด ราคาสัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูดได้ลงมาปิดตลาดที่ 102.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งยังถือเป็นราคาปิดสูงสุดทำสถิติใหม่ และเพิ่มขึ้น 2.95 ดอลลาร์ จากราคาปิดตลาดนิวยอร์ก เมื่อวันพุธ (27)
ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนต์ สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน มีอยู่ช่วงหนึ่งมีราคาพุ่งทำสถิติที่ 101.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะลดลงมาปิดตลาดที่ 100.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.63 ดอลลาร์ จากราคาปิดที่ลอนดอน เมื่อวันพุธ
ต่อมา ในการซื้อขายภาคเช้าที่ตลาดในสิงคโปร์ เมื่อวันศุกร์ (29) สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูดมีราคาพุ่งทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ 103.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ต่อมาก็ลดลงมาซื้อขายกันที่ 102.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 4 เซ็นต์ จากราคาปิดที่ตลาดนิวยอร์ก เมื่อวันพฤหัสบดี ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนต์มีราคาลดลง 6 เซ็นต์ จากราคาปิดที่ตลาดลอนดอน เมื่อวันพฤหัสบดีเช่นกัน มาอยู่ที่ 100.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
วิกเตอร์ ชัม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อาวุโส แห่งบริษัทเปอร์วินแอนด์เกิร์ตซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน กล่าวว่า “ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงทำสถิติใหม่ในช่วงเดียวกับกระแสเงินของนักลงทุนไหลบ่าเข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สืบเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนยวบและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ
ค่าเงินดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี อ่อนลงทำสถิติต่ำสุดอีกครั้ง โดย 1 ยูโร แลกได้ 1.52 ดอลลาร์ หลังจากที่เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า สหรัฐฯจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะ “Stagflation” หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็พุ่งสูง ทว่า การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกพุ่งสูงจะทำให้ความพยายามของเฟดในการประคับประคองเศรษฐกิจ ประสบกับความยุ่งยากมากขึ้น
คำกล่าวของเบอร์นันกีไม่ได้ทำให้นักลงทุนหยุดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเฟดทำเช่นนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้น้ำมันซึ่งซื้อขายกันด้วยเงินสกุลดอลลาร์ มีราคาถูกลง สำหรับผู้ที่ถือเงินสกุลอื่น สิ่งนี้จะทำให้ดีมานด์น้ำมันเพิ่มขึ้น
ทางด้านเนาแมน บารากัต รองประธานอาวุโสแห่งบริษัทแมคไควรี ฟิวเจอร์ส ยูเอสเอ กล่าวว่า “ความซับซ้อนด้านพลังงานก็คือเรื่องเงินดอลลาร์และภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่นักลงทุนพากันย้ายมาลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ”
สตีเฟน ชอร์ก บรรณาธิการของชอร์ก รีพอร์ต ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์พลังงาน จัดส่งให้กับลูกค้า กล่าวว่า “พวกเก็งกำไรครองตลาดนี้ พวกเขากำลังดันราคาให้สูงขึ้นตราบเท่าที่พวกเขามองว่า ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม”
นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าต่ำสุดทำสถิติแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี เกิดเพลิงไหม้ที่สถานีจ่ายก๊าซธรรมชาติ แบคตัน ก๊าซ เชลล์ ในเมืองนอร์โฟล์ก อังกฤษ ทำให้ซัปพลายก๊าซจากสถานีดังกล่าวลดลงถึง 45 ล้านลูกบาศก์เมตร มีผลทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงเช่นกัน