ชาวฟลอริดาโล่งกลับมามีไฟใช้หลังเป็นอัมพาตในหลายเมือง!

เอเอฟพี – ชาวฟลอริดากลับมามีไฟฟ้าใช้อีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ จนทำให้ประชาชนหลายล้านคนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐฟลอริดา กล่าวว่า เหตุไฟดับในหลายเมืองของรัฐฟลอริดาในครั้งนี้ ทำให้ชาวฟลอริดาหลายล้านคนต้องผจญกับการไม่มีไฟฟ้าใช้นานหลายชั่วโมง และยังทำให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่โรงงานนิวเคลียร์เตอร์กีย์ พอยต์ ไม่สามารถทำงานได้อีกด้วย

เหตุไฟดับดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายเมืองของรัฐฟลอริดา เริ่มตั้งแต่ไมอามีไปจนถึงเดย์โทนา บีช ทำให้หลายคนต้องติดอยู่ในลิฟต์ นอกจากนี้ ยังทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก และเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายรายหลังสัญญาณไฟจราจรไม่ทำงาน ขณะที่ร้านค้าต่างๆ พากันปิดร้านเป็นการชั่วคราว รวมถึงโรงเรียนที่สั่งหยุดเรียน 1 วัน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ และตำรวจฟลอริดา ระบุว่า เหตุไฟดับดังกล่าวไม่ได้เป็นการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย อย่างไรก็ตามทางการยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดไฟดับในครั้งนี้

“กระทรวงยืนยันได้ว่า เหตุไฟดับในรัฐฟลอริดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับลัทธิก่อการร้ายแต่อย่างใด” อามี คุดวา โฆษกกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐฯ กล่าว

ด้าน อาร์มานโด โอลิเวรา หัวหน้าของฟลอริดา พาวเวอร์ แอนด์ ไลต์ (เอฟพีแอล) บริษัทสาธารณูปโภคหลักซึ่งรับผิดชอบการจ่ายกระแสไฟฟ้า และดูแลโรงงานนิวเคลียร์ 2 แห่งในฟลอริดา กล่าวว่า คาดว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟดับในครั้งนี้น่าจะมาจากสวิตช์ที่สถานีย่อยแห่งหนึ่งใกล้กับไมอามีไม่ทำงาน จนทำให้เกิดเหตุไฟดับเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ก่อนที่หลายพื้นที่จะกลับมามีไฟใช้อีกครั้งเมื่อเวลา 17.00 น.ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ลูกค้าของบริษัทไม่มีไฟฟ้าใช้ประมาณ 2.5 ล้านคน

เวนดี ฮอร์น โฆษกของโพรเกรส เอ็นเนอจี บริษัทซึ่งรับผิดชอบการจ่ายกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ตอนกลางของรัฐฟลอริดา กล่าวว่า มีลูกค้าของบริษัทประมาณ 153,000 คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หลังเกิดเหตุไฟดับขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น.

ขณะที่ โซรายา ซัวเรซ โฆษกหญิงของดิสนีย์ กล่าวว่า สวนสนุกวอลต์ ดิสนีย์ เวิลด์ ในเมืองออร์ลันโด ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟดับในครั้งนี้เพียงเล็กน้อย หลังเกิดไฟดับเป็นเวลา 20 นาทีในบางพื้นที่ของสวนสนุกและรีสอร์ต

ทั้งนี้ เหตุไฟดับในครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่มากสุดของสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุไฟดับในหลายรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2003 ส่งผลให้ชาวอเมริกันและชาวแคนาดากว่า 50 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้