xs
xsm
sm
md
lg

กก.อินเดียดูแล “พุทธคยา” ฉาวหนัก ถูกหาทุจริต-ตัดกิ่งโพธิ์ขายให้ “ไทย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเจนซี - พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ 2,500 ปีก่อน ซึ่งเวลานี้อยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศอินเดีย กำลังยุ่งเหยิงวุ่นวายไปด้วยเรื่องราวของการทุจริตฉ้อโกง, การโจรกรรมทรัพย์สิน ตลอดจนการช่วงชิงกันระหว่างคนต่างศาสนา

คัมภีร์ทางพุทธศาสนาหลายแห่งพรรณนาถึงสถานที่นี้ว่าเป็น “สะดือของโลก” และทุกปีมีผู้แสวงบุญและนักท่องเที่ยว 100,000 คน เดินทางมาสักการะ จนเมืองพุทธคยา ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐพิหาร ของอินเดีย และวัดมหาโพธิ์ เต็มแน่นไปด้วยผู้คน

มีต้นโพธิ์โบราณเก่าแก่ต้นหนึ่งเติบโตตระหง่านอยู่ที่ด้านหลังของวัด โดยกล่าวกันว่าเป็นลูกหลานของต้นศรีมหาโพธิ์ซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงนั่งประทับบำเพ็ญเพียร ก่อนที่จะทรงตรัสรู้สิ่งที่พระองค์ทรงแสวงหา ในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ

ทว่า นักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญหลั่งไหลกันมาพร้อมๆ กับข้าวของเงินทอง และเงินทองของบาดใจก็มาพร้อมๆ กับข้อกล่าวหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมอันมิได้สูงส่งอารยะเอาเลย

บรรดาพระและนักบวชได้ตั้งข้อกล่าวหาฉกรรจ์ๆ อยู่หลายข้อ ได้แก่ เงินทองจำนวนนับพันนับหมื่นดอลลาร์ที่วัดแห่งนี้ได้รับบริจาค ได้อันตรธานไปอย่างเป็นปริศนา, กิ่งที่ยังมีใบหนาของต้นโพธิ์เก่าแก่ได้ถูกตัดออก และขายให้แก่ประเทศไทยในปี 2006 และโบราณวัตถุจำนวนหนึ่งได้หายสูญไป

ชาวฮินดูจำนวนหนึ่งก็บูชาสถานที่แห่งนี้ด้วย และเป็นพระชาวฮินดูที่ชื่อ อรุป พราห์มาชารี นั่นเองที่เป็นผู้นำการรณรงค์เปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

“ผมไม่ได้ต่อสู้ในฐานะที่เป็นผมฮินดู ผมต่อสู้เพราะผมรักพระเจ้า” เขากล่าว “พระพุทธเจ้าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้า และใครบางคนกำลังประพฤติมิชอบกับทรัพย์สมบัติของพระองค์”

ทั้งนี้ เขาพูดตามความเชื่อของชาวฮินดูจำนวนหนึ่ง ซึ่งบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นองค์อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ

ที่ดินของวัดแห่งนี้ตกเป็นของสำนักฮินดูแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และวัดนี้ก็บริหารจัดการโดยคณะกรรมการ ซึ่งกำหนดให้มีสมาชิกเป็นฮินดูมากกว่าชาวพุทธ

ทว่า ผู้แทนของทั้งสองศาสนาต่างก็ถูกกล่าวหาด้วยกันทั้งคู่

การกล่าวหาพุ่งเป้าไปที่อดีตเลขานุการคณะกรรมการบริหารจัดการวัดพุทธคยา ซึ่งเป็นคนฮินดู นอกจากนั้น ก็มีอดีตเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของคณะกรรมการ และอดีตเจ้าอาวาสของวัดซึ่งเป็นพระชาวพุทธ

บันทึกของตำรวจกล่าวหาบุคคลทั้ง 3 นี้ ว่า “มีพฤติการณ์เลวทราม” และเรียกร้องให้สอบสวนทรัพย์สินความมั่งคั่งส่วนตัวของพวกเขา

พยานหลายคนที่ถูกทางตำรวจสอบปากคำ ให้การว่าพระเจ้าอาวาสได้สั่งให้ลูกจ้างคนหนึ่ง ตัด “ส่วนที่ยังดีๆ อยู่หลายๆ ส่วน” ของต้นโพธิ์ แล้วนำไปไว้ที่กุฏิของตัวเอง บุคคลทั้ง 3 ยังถูกกล่าวหาว่าขายใบโพธิ์ที่ร่วงแล้วให้แก่ผู้แสวงบุญ และนำเงินเข้ากระเป๋า

อดีตเลขานุการวัด กาลิจรัญ ยาเทพ ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยบอกว่า กิ่งดังกล่าวได้ถูกตัดออกไปในปี 1978 เมื่อมีการแต่งเล็มต้นโพธิ์ เขากล่าวด้วยว่า ข้อกล่าวหาต่อตัวเขาเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งมีการเคลื่อนไหวกันก็หลังจากพรรคที่เขาสังกัดอยู่ได้สูญเสียอำนาจในรัฐพิหาร

วัดแห่งนี้ซึ่งคิดกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 1,500 ปีก่อน มีพระมหาเจดีย์สูง 55 เมตร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงกลาง เหนือบริเวณซึ่งกล่าวกันว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2002

ภายในวิหาร บริเวณด้านหน้าพระพุทธรูปสีทองอร่ามขนาดยักษ์ ผู้แสวงบุญจากญี่ปุ่น, ศรีลังกา, จีน, ไทย และโลกตะวันตก ต่างคุกเข่ากราบไหว้และสวดมนตร์ ที่ภายนอกวิหาร คนอื่นๆ พากันเก็บใบโพธิ์ที่ร่วงหล่นลงมา ทั้งจากต้นยักษ์ดั้งเดิม และจากต้นอื่นๆ ซึ่งกำลังเติบโตในบริเวณลานวัด

พราห์มาชารี ผู้นุ่งขาวห่มขาว เท้าเปล่าและไว้เครา ชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูด้วยความตื่นเต้น ถึงจุดที่กิ่งโพธิ์ถูกตัด ตลอดจนเวิ้งที่บัดนี้ว่างเปล่ารอบๆ พื้นที่วัด ซึ่งเขาบอกว่าเมื่อไม่นานมานี้เองยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

“พวกเขาส่งกิ่งโพธิ์ไปประเทศไทย และขายได้เป็นเงิน 6 โกฏิ (60 ล้าน) รูปี (ราว 1.5 ล้านดอลลาร์)” เขากล่าวและเล่าต่อไปว่า ตัวเขาเคยถูกทุบตี 2 ครั้ง และถูกขู่ฆ่าอีกหลายครั้ง ตั้งแต่เริ่มการรณรงค์นี้

เขาบอกด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้แสดงความสนใจอะไรเลย “ไม่มีใครฟัง ผมเองเซ็งเต็มทีกับการเขียนจดหมายร้องเรียน”

ทว่าไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่รู้สึกไม่พอใจ ยังมีบรรดาพระชาวพุทธที่บริหารวัดและสำนักสงฆ์อื่นๆ จำนวนมากซึ่งผงาดขึ้นมาในบริเวณรอบพุทธคยา

ถึงแม้มีการสอบบัญชี แต่พระเหล่านี้ก็ร้องเรียนว่าทางวัดไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อสนับสนุนโรงเรียนและโรงพยาบาลในท้องถิ่น แม้จะมีเงินรายได้เป็นจำนวนมาก

“เงินทองไหลเข้ามา แต่มันไหลไปไหนไม่มีใครรู้เลย” เป็นคำพูดของ พระภันเต ปะรักยาทีป เหรัญญิกสมาคมพระสงฆ์ชาวพุทธแห่งอินเดีย

เวลานี้ชิเทนดรา ศรีวัสตาวา พนักปกครองท้องถิ่น คือผู้ดำเนินงานของคณะกรรมการวัด นับแต่ที่เรื่องอื้อฉาวถูกเปิดโปง และคณะกรรมการชุดเก่าหมดวาระการทำงาน

“พวกเลขานุการทุกคนต่างก็พัวพันกับเรื่องที่ทำให้เกิดการถกเถียงขัดแย้ง” เขาบอก “มันเป็นเรื่องโชคร้ายมาก”

เขา อธิบายว่า เงินรายได้จำนวนมากได้ถูกใช้ไปในการ “ทำให้วัดสายงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับเวิลด์คลาส” พร้อมกับระบุว่าตั้งแต่เขาเป็นผู้ดูแล ไม่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตฉ้อโกงเกิดขึ้นอีก

ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องตัดกิ่งโพธิ์ กำลังเป็นคดีที่รอการพิจารณาของศาล ข้อกล่าวหาการกระทำผิดอื่นๆ ลึกซึ้งกว่านั้นกลับไม่มีความน่าเชื่อถือ “คนจำนวนมากพูดเรื่องนี้ แต่ผมไม่พบว่ามีหลักฐานเชื่อถือได้เลย ยังต้องดูกันต่อไปว่าคนเหล่านี้เอาเงินก้อนนี้ไปหรือเปล่า”

ขณะเดียวกัน พระชาวพุทธจำนวนมาก บอกว่า พวกท่านต่างหาก ไม่ใช่ชาวฮินดูเลย ที่ควรเป็นผู้บริหารจัดการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของพุทธศาสนาแห่งนี้

ทว่าศรีวัสตาวา กล่าวว่า แม้ให้ชาวพุทธมาดูแล ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะเกิดความซื่อสัตย์ในอนาคต

“โจรอาจจะเป็นคนฮินดูหรือชาวพุทธก็ได้” เขาบอก “โจรก็คือโจร เขาไม่มีศาสนาหรอก”
กำลังโหลดความคิดเห็น