นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยประเมินการเจรจาทวีภาคี GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่จันทบุรีว่า คงยุติความขัดแย้งและจบศึกสู้รบตามแนวชายแดนได้ยาก เพราะกัมพูชารุกล้ำเข้าครอบครองคืนดินแดน ดังนั้นต้องคืนแผ่นดินกลับมาให้ไทย สงครามก็ไม่เกิด
การเจรจา GBC ระดับรัฐมนตรีกลาโหม ที่จันทบุรี มีขึ้นตั้งแต่ 24-27 ธ.ค. นี้ แม้กัมพูชาพยายามดึงให้ไปประชุมที่มาเลเซีย แต่ไม่ได้สนองตอบจากไทย อย่างไรก็ตาม การเจรจาทวีภาคีครั้งนี้ นายจตุพร เชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่รู้จะจบอย่างไร เพราะ รมต.กลาโหมแต่ละประเทศแบกความคาดหวังและเกียรติภูมิของคนแต่ละประเทศกันไว้ ด้วยเงื่อนไขนี้ ผลลัพธ์การเจรจาย่อมได้รับความเห็นชอบทางอารมณ์ความรู้สึกของคนแต่ละชาติด้วย
“สิ่งสำคัญพรรคใดและใครก็ตามอย่ามาอวดตนเองว่า ถ้าเป็นนายกฯ แล้ว สงครามจะไม่เกิดขึ้น เพราะถ้าจะเอาแผ่นดินไปแลกก็ต้องมีเรื่องกัน เมื่อปล่อยปละละเลยให้เขาถือครองมานาน และถ้าไม่อยากมีเรื่องแล้วยกแผ่นดินให้เขา ก็เป็นชาติที่กระจอกไป”
พร้อมทั้งถามว่า ถ้า MOU 43-44 เป็นช่องทางให้เกิดการเจรจากันจริงนั้น ทำไมปล่อยให้ถูกละเมิดถึง 600 ครั้ง ทำไมให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาครอบครองราชอาณาจักรไทยถึง 28 จุด เมื่อ MOU 43-44 เป็นเครื่องมือในการคุย แล้วคุยให้เกิดผลปฏิบัติไม่ได้จริง ไทยก็เป็นแค่ประเทศขี้คุย ชอบคุยแต่เสียดินแดน
“ใครที่มาเป็นรัฐบาลจะเอาอย่างไงกับแผ่นดิน ถ้ายอมให้เขายึดก็มีเรื่องก็เท่านั้น ถ้าเป็นประเทศมีศักดิ์ศรียอมไม่ได้ที่ใครจะมายึดครองแผ่นดินไทย เราต้องดำรงความมุ่งหมายนี้ไว้ ไม่ใช่เอาไว้แค่พูดกันแล้วปล่อยให้เขาละเมิดดินแดน”
นายจตุพร ย้ำว่า ไม่ควรมี MOU 43-44 เพราะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยกัมพูชาละเมิดกว่า 600 ครั้ง และมีบางเรื่องซ่อนความไม่สบายใจให้กับประเทศไทยและคนไทย เมื่อเป็นข้อตกลงไร้น้ำยา จึงต้องยกเลิก แล้วมาทำสัญญาข้อตกลงกันใหม่
สิ่งสำคัญประเทศไทยไม่น่ายึดถือข้อตกลงที่ถูกละเมิดมากถึง 600 ครั้ง ถ้าได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังตาม MOU 43-44 สงครามก็ไม่เกิด แล้วพรรคการเมืองบางพรรคยังมีทัศนะคติดื้อดันกอด MOU 43 เอาไว้ ถ้าคิดจะทำให้กองทัพกัมพูชาสิ้นสภาพ ก็ควรมาด้วยเงื่อนไขข้อตกลงใหม่และยึดปฎิบัติ หากถูกละเมิดอีกก็พร้อมฉีกทันที
ส่วนการเมืองในสถานการณ์เลือกตั้งทั่วไปปี 2569 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้แต่ละพรรคมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ และผู้สมัคร สส.กัน อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นแดนดิเดตนายกฯ ไม่ได้หมายความว่า จะได้เป็นนายกฯ แต่เป็นแค่ให้เป็นไปตามกฎหมาย อีกอย่างสาระการเลือกตั้ง 2569 อยู่ที่คนยังไม่ตัดสินใจจะเลือกใคร พรรคการเมืองใด
สิ่งสำคัญทางการเมืองจะสู้กันด้วยความนิยมหรือกระแสที่จะไปสร้างแรงเหวี่ยงให้กับผู้สมัครของแต่ละพรรค ดังนั้น เลือกตั้งครั้งนี้จะเห็นการจัดตั้งกำลังผลสร้างกองทัพไซเบอร์ปั่นกระแสโพลในโซเซียลมีเดีย ซึ่งจะทำให้เกิดอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองได้ ดังนั้น โพลจากการดีเบตจึงวัดความนิยมทางการเมืองอะไรไม่ได้เนื่องจากถูกสร้างจากการปั่นให้เกิดกระแสนิยม
"คุณยศชนน วงศ์สวัสดิ์ อยู่ดีๆ มาเป็นแคนติเดนนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย มีกระแสนิยมโผล่พรวดพราดขึ้นมาอย่างอัศจรรย์เลย สิ่งนี้สะท้อนถึงพรรคเพื่อไทยเคยได้ สส. 141 เสียง จะรักษาไว้อย่างไร ดังนั้น การปั้นของใหม่มาเล่น ในช่วงแรกๆ อาจสุภาพเรียบร้อย จึงมีศัตรูน้อยหน่อย แต่ต้องดูกันนานๆ"
อีกทั้งเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองเล็กๆ จะเหนื่อยมากเพราะต้องสู้กับการสร้างกระแสนิยมพรรค และยังเสียเปรียบกับระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบจึงสู้ด้วยความยากลำบากมาก ถ้าเป็นบัตรใบเดียวก็พอให้พรรคเล็กสู้ได้บ้าง
ประเทศไทยต้องมาก่อน


