นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลสำเร็จของการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (IC-GPOS) ซึ่งจัดโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2568 ว่า การประชุมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่งในการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างนานาชาติ ในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ และการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมทั้งยังเป็นการเน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องยกระดับจากความตระหนักรู้ ไปสู่การลงมือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติ 6 ประการ ดังนี้
1. ธำรงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นทางการเมืองและการดำเนินการแบบบูรณาการทั้งองคาพยพของรัฐให้ประเด็นนี้เป็นวาระแห่งชาติที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ โดยมีการประสานงานและทรัพยากรที่ชัดเจน
2.เสริมสร้างความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางยุติธรรมข้ามพรมแดน ตั้งแต่ขั้นตอนการสืบสวนไปจนถึงการดำเนินคดี ควรทำให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างรวดเร็วและลึกลงไปถึงระดับปฏิบัติการตลอดทั้งห่วงโซ่ เพื่อไม่ให้อาชญากรใช้ช่องโหว่ของเขตอำนาจศาลในการแสวงหาผลประโยชน์ในบริบทของการหลวงลวงออนไลน์ แก้ไขความท้าทายเฉพาะด้าน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐานอย่างทันท่วงที การรักษาพยานหลักฐานดิจิทัลจากหลายแพลตฟอร์มและเขตอำนาจศาล และรับรองว่าพยานหลักฐานดิจิทัลสามารถรับฟังได้ในชั้นศาล
3.ผลักดันแนวทางที่ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้ามนุษย์ ด้วยการปรับปรุงการคัดกรอง การคุ้มครอง และการให้ความช่วยเหลือการส่งกลับประเทศ เสริมสร้างมาตรการป้องกันเพื่อแยกแยะเหยื่อออกจาผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เหยื่ออาจถูกบังคับให้ก่ออาชญากรรม
4.ต้องติดตามเส้นทางการเงินด้วยข่าวกรองทางการเงินที่เข้มแข็งและหยุดเส้นทางการเงินอย่างเร็วยิ่งขึ้น ควรเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อต่อสู้กับผู้สนับสนุนทางไซเบอร์ อาชญากรรมทางการเงิน เช่น การฟอกเงิน กำกับดูแลการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโตที่มักถูกใช้ในการโอนถ่ายผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนการสืบทรัพย์ การยึด และการเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด
5.กระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นขึ้น เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและทำลายระบบนิเวศของการหลอกลวง ตามแนวทางของเลขาธิการสหประชาชาติที่ว่า “วิกฤติที่เคลื่อนที่เร็ว ย่อมต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วเช่นกัน”
6.การลงทุนในการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สาธารณชน นอกเหนือจากการปราบปรามแล้ว ต้องป้องกันการตกเป็นเหยื่อผ่านแคมเปญสื่อสารความเสี่ยงที่มีการประสานงานเพื่อเพิ่มพูนการรู้เท่าทันดิจิทัล และการเข้าถึงชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง การดำเนินงานนี้ควรทำภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเสริมสร้างการคุ้มครองผู้ใช้งาน ตรวจสอบและตรวจจับรูปแบบการฉ้อโกงออนไลน์เพื่อกำจัดเนื้อหาหลอกลวงและปรับปรุงกลไกในการรายงานเหตุ
1. ธำรงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นทางการเมืองและการดำเนินการแบบบูรณาการทั้งองคาพยพของรัฐให้ประเด็นนี้เป็นวาระแห่งชาติที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ โดยมีการประสานงานและทรัพยากรที่ชัดเจน
2.เสริมสร้างความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางยุติธรรมข้ามพรมแดน ตั้งแต่ขั้นตอนการสืบสวนไปจนถึงการดำเนินคดี ควรทำให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างรวดเร็วและลึกลงไปถึงระดับปฏิบัติการตลอดทั้งห่วงโซ่ เพื่อไม่ให้อาชญากรใช้ช่องโหว่ของเขตอำนาจศาลในการแสวงหาผลประโยชน์ในบริบทของการหลวงลวงออนไลน์ แก้ไขความท้าทายเฉพาะด้าน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐานอย่างทันท่วงที การรักษาพยานหลักฐานดิจิทัลจากหลายแพลตฟอร์มและเขตอำนาจศาล และรับรองว่าพยานหลักฐานดิจิทัลสามารถรับฟังได้ในชั้นศาล
3.ผลักดันแนวทางที่ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการค้ามนุษย์ ด้วยการปรับปรุงการคัดกรอง การคุ้มครอง และการให้ความช่วยเหลือการส่งกลับประเทศ เสริมสร้างมาตรการป้องกันเพื่อแยกแยะเหยื่อออกจาผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เหยื่ออาจถูกบังคับให้ก่ออาชญากรรม
4.ต้องติดตามเส้นทางการเงินด้วยข่าวกรองทางการเงินที่เข้มแข็งและหยุดเส้นทางการเงินอย่างเร็วยิ่งขึ้น ควรเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อต่อสู้กับผู้สนับสนุนทางไซเบอร์ อาชญากรรมทางการเงิน เช่น การฟอกเงิน กำกับดูแลการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโตที่มักถูกใช้ในการโอนถ่ายผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนการสืบทรัพย์ การยึด และการเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด
5.กระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นขึ้น เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและทำลายระบบนิเวศของการหลอกลวง ตามแนวทางของเลขาธิการสหประชาชาติที่ว่า “วิกฤติที่เคลื่อนที่เร็ว ย่อมต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วเช่นกัน”
6.การลงทุนในการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สาธารณชน นอกเหนือจากการปราบปรามแล้ว ต้องป้องกันการตกเป็นเหยื่อผ่านแคมเปญสื่อสารความเสี่ยงที่มีการประสานงานเพื่อเพิ่มพูนการรู้เท่าทันดิจิทัล และการเข้าถึงชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง การดำเนินงานนี้ควรทำภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเสริมสร้างการคุ้มครองผู้ใช้งาน ตรวจสอบและตรวจจับรูปแบบการฉ้อโกงออนไลน์เพื่อกำจัดเนื้อหาหลอกลวงและปรับปรุงกลไกในการรายงานเหตุ


