ทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานความคืบหน้าอาการของ "ข้าวต้ม" ลูกช้างป่าเพศเมียตัวน้อยที่กำลังได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดที่ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก จังหวัดสุพรรณบุรี โดยอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สพ.ญ.ณฐนน ปานเพ็ชร นายสัตวแพทย์ชำนาญการ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวากและศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 5-7 ธันวาคม 2568 ข้าวต้มสามารถกินนมได้แล้ว แม้จะยังได้ปริมาณน้อยกว่าที่คำนวณไว้ แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก นอกจากนี้ยังไม่พบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในทุกช่วงเวลาที่ตรวจ
"ปัสสาวะของน้องข้าวต้มเป็นปกติ ส่วนอุจจาระยังเป็นเหลวปนเนื้อครีมเล็กน้อย ซึ่งทีมสัตวแพทย์กำลังติดตามอาการอย่างใกล้ชิด" สพ.ญ.ณฐนน กล่าว
ทีมสัตวแพทย์ให้การดูแลอย่างครอบคลุมทั้งด้านการแพทย์และกายภาพบำบัด ได้แก่
-การให้สารน้ำทางหลอดเลือด** เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและพยุงระดับน้ำตาล
-การให้ยาและวิตามิน** ครบวงจร รวมถึงยาบำรุงตับ ยารักษาแผลในระบบทางเดินอาหาร ยาปฏิชีวนะ และยาลดปวดเกร็งท้อง
-การรักษาแผลและแผลกดทับ ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ร่วมกับการทำความสะอาด พ่นยา และทายาอย่างสม่ำเสมอ
-กายภาพบำบัด ด้วยการนวดและยืดเหยียดขาหน้าทั้ง 2 ข้าง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
สิ่งที่ทำให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่มีกำลังใจคือพฤติกรรมของข้าวต้มที่ร่าเริง สนใจพี่เลี้ยง และสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว แม้ช่วงกลางคืนจะค่อนข้างซนไม่ค่อยยอมนอน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและพลังชีวิตของช้างน้อย
การรักษาข้าวต้มเป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีทีมสัตวแพทย์ สัตวบาล และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจาก 4 หน่วยงาน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติลำคลองงู เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก และ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก
ทีมสัตวแพทย์ระบุว่า จะต้องประเมินอาการของข้าวต้มอย่างต่อเนื่องเป็นรายวัน เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าวต้มจะแข็งแรงในเร็ว
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนที่ติดตามและเป็นห่วงข้าวต้ม พร้อมยืนยันว่าจะดูแลช้างน้อยอย่างเต็มที่


