นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรม.คลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน
นายเอกนิติ กล่าวว่า การประชุม ครม.เศรษฐกิจ วันนี้ เป็นวาระพิเศษในการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา อำเภอหาดใหญ่ ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้พา ครม.เศรษฐกิจ และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีการประเมินว่าความเสียหายครั้งนี้ถึง 5 แสนล้านบาท และมีประชาชนเดือดร้อนมากกว่า 2.9 ล้านคน ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นความเดือดร้อนของประชาชนจากมหากอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศมาตรการเยียวยา ฟื้นฟูแบบบูรณาการ โดยมุ่งเน้นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
ที่ประชุมได้มอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวบรวมชุดมาตรการ และรายละเอียดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (2 ธ.ค.) การใช้งบประมาณของโครงการต่างๆ โดยบางส่วนจะให้งบประมาณ และบางส่วนใช้งบประมาณตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.งบประมาณ ขณะที่บางส่วนธนาคารเฉพาะกิจของรัฐได้ใช้งบประมาณของตนเองเพื่อช่วยเหลือประชาชน ส่วนงบกลางที่ต้องเข้าไปช่วยส่วนของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย อยู่ระหว่างหารือกันในส่วนนี้
สำหรับชุดมาตรการที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ ครอบคลุมทั้งการลดภาระหนี้ การเพิ่มเงินในกระเป๋า การลดภาระค่าใช้จ่าย และมาตรการอื่นๆ เพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็งของพื้นที่ ได้แก่
1. การลดภาระหนี้และมาตรการสินเชื่อ (ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน) ได้แก่ มาตรการพักชำระหนี้ (พักต้น พักดอกเบี้ย) โดยให้พักชำระเงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 12 เดือน สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ระหว่างการพักชำระหนี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะผ่อนคลายเกณฑ์เพื่อไม่ให้หนี้เหล่านี้ถูกจัดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
นอกจากนั้น ยังมีมาตรการสินเชื่อเยียวยา โดยลูกหนี้เดิมภายใต้วงเงินกู้เดิม สามารถกู้เพิ่มได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 12 เดือน และสินเชื่อฟื้นฟู เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 12 เดือน โดยสถาบันการเงินของรัฐจะดูแลเรื่องการฟื้นฟูอาชีพ
สำหรับมาตรการ Soft Loan สำหรับ SME: จัดให้มีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้
สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้จากมาตรการพักหนี้และสินเชื่อข้างต้นจะใช้เงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยจะมีการตั้งเป็น บัญชี PSA (Public Service Account) เพื่อให้ความเป็นธรรม หากเกิดความเสียหายขึ้น ภาครัฐจะเข้ามาดูแล
2. การเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน ได้แก่ เงินเยียวยาครัวเรือน : คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินสดจำนวน 9,000 บาทต่อครัวเรือน ให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเพิ่มเงินทดลองผู้ว่าราชการจังหวัด โดยกระทรวงการคลังได้ขยายเงินทดลองให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน จังหวัดละ 100 ล้านบาท พร้อมทั้งผ่อนคลายเกณฑ์และระเบียบการเบิกจ่ายต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีการขยายเวลากำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น
3. มาตรการลดภาระภาษีให้ประชาชนและผู้ประกอบการ ประกอบไปด้วย มาตรการขยายเวลาชำระภาษี โดยขยายเวลาชำระภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งหมด และลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซ่อมแซม ได้แก่ ซ่อมแซมทรัพย์สิน ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และลดหย่อนภาษีซ่อมแซมรถ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
สำหรับผู้ประกอบการ สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สินของผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า
ขณะที่ผู้ที่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่านองค์กรสาธารณกุศลต่าง ๆ สามารถลดหย่อนภาษีได้ ส่วนข้อเสนอของเอกชนที่ขอให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กระทรวงการคลังจะมีการประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณาตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการในพื้นที่
3. การลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ เช่น การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักรและชิ้นส่วนเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัย การยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุที่ประสบอุทกภัย การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาที่ทำจัดซื้อจัดจ้าง การลดค่าน้ำประปาในพื้นที่อุทกภัย การเตรียมจัดงานธงฟ้าเยียวยาค่าครองชีพ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดหลังน้ำลด และอุปโภคบริโภคจำเป็น การบรรเทาภาระด้านเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการสินค้า GI (Geographical Indication) การเว้นค่าเช่าและค่าเช่าซื้อ เป็นต้น
ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น รัฐวิสาหกิจตรวจสอบความปลอดภัยตามที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างระบบท่อน้ำ ระบบไฟฟ้า รางรถไฟ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด การจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตร โดยลงพื้นที่ ให้คำปรึกษาและบริการต่าง ๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการถึงในพื้นที่ การอำนวยความสะดวกในการยื่นงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นต้น พร้อมทั้งได้มีการมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือ ที่สอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หน้าที่หลักของกระทรวงพาณิชย์คือการทำให้มั่นใจว่าประชาชนมีเครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอ ไม่ขาดแคลน และมีราคาที่ต่ำ กระทรวงพาณิชย์ได้แบ่งมาตรการช่วยเหลือออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1. ระยะเร่งด่วน โดยเน้นการดูแลปากท้อง และควบคุมราคา โดยได้เน้นการจัดส่งสินค้าอุปโภคบริโภค มีการส่งวัตถุดิบอาหาร เช่น ไข่ไก่ ข้าวสาร และอาหารต่างๆ ลงไปเป็นวัตถุดิบที่โรงครัว เพื่อให้ประชาชนได้รับอาหารอย่างทันทีและต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและห้างต่างๆ
การควบคุมราคาและป้องกันการกักตุน ควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป และป้องกันไม่ให้มีการกักตุนสินค้า เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอในพื้นที่
2. ระยะเยียวยาโดยเน้นที่การลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมลดราคาอุปกรณ์ซ่อมแซม โดยได้ประสานกับห้างสรรพสินค้าและห้างเฉพาะกิจ เช่น Big C, Lotus, Home Pro, Global House เพื่อร่วมกันลดราคาสินค้าสำหรับซ่อมแซมบ้าน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็น โดยมีการลดราคาสูงสุดถึง 80% โดยมี สินค้าจำเป็นที่เร่งนำเข้าพื้นที่ ได้แก่ เบรกเกอร์ สายไฟ และหัวเทียน เพื่อช่วยให้รถมอเตอร์ไซค์สามารถสัญจรได้ ความร่วมมือ: ร่วมมือกับ SCG ในการนำอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านและช่างต่าง ๆ เข้าไปในพื้นที่
3. ระยะฟื้นฟู โดยเน้นที่การสร้างรายได้และการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ ได้แก่
1) มหกรรมธงฟ้าพิเศษ โดยเตรียมจัดมหกรรมธงฟ้าที่มีลักษณะพิเศษ นอกเหนือจากการเน้นสินค้าอุปโภคบริโภค
2) หน่วยเคลื่อนที่ (Mobile Unit): จัดหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปยังจุดที่ประชาชนไม่สะดวกเดินทางมายังจุดแสดงสินค้าธงฟ้า
3) สนับสนุนแฟรนไชส์: นำผู้ประกอบการแฟรนไชส์ลงไปในพื้นที่เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และอาชีพ กระทรวงพาณิชย์จะประสานกับกระทรวงการคลัง และ สสว. เพื่อช่วยสนับสนุนเงินในส่วนของค่าแฟรนไชส์บางส่วน
4) การเข้าถึงแหล่งทุนและอำนวยความสะดวก: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าทำงานร่วมกับ SMED Bank เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กเข้าถึงแหล่งทุน พร้อมทั้งให้ความสะดวกและรวดเร็วในการขอใบรับรอง การจดทะเบียนบริษัท และใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการกลับมาทำการค้าได้รวดเร็ว


