ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า อ่านเมนต์ขอความช่วยเหลือของคนติดน้ำท่วมที่หาดใหญ่จนเกือบเช้า เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ จึงเขียนเรื่องถอดบทเรียนจากหาดใหญ่ เราเตรียมรับมือน้ำท่วมยุคโลกร้อนได้อย่างไร ? เผื่อมีประโยชน์สักนิดก็ยังดี
เริ่มจาก “เรา” ในที่นี้ไม่ใช่ภาครัฐ แต่เราหมายถึงตัวเรานี่แหละ
อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยฝากความหวังไว้กับใคร ยังติดตามเรื่องภัยพิบัติจากโลกร้อนมาตลอด เข้าไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ ก็หลายครั้ง จนพอสรุปกับตัวเองได้ว่า จงพึ่งพาตัวเองก่อนดีที่สุด
กติกาข้อแรกและสำคัญสุดในกรณีภัยพิบัติ ”อย่าเป็นผู้ประสบภัย“
ใช่ ! ไม่มีใครอยากติดอยู่ในบ้านตอนมืดๆ น้ำก็ขึ้นสูงขึ้นทุกที แล้วเรามีวิธีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
เริ่มจากศึกษาถิ่นอาศัย เมืองเราเคยมีภัยพิบัติน้ำท่วมไหม ถ้าเคย ต้องระวัง
แม้น้ำอาจไม่เคยมาถึงบ้านเรา แต่นั่นคือยุคก่อน ยุคนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกร้อนจัด ทุกอย่างแปรปรวน
เมืองไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยงน้ำท่วมจากโลกร้อนมากที่สุด ภัยน้ำท่วมใหญ่จะถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิโลก
จาก 3-4 เท่าในช่วง 1.5 องศา กลายเป็นสิบๆ เท่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
ในอีก 30-40 ปี อาจทะลุ 2 องศา และไปจบที่ 2.6 องศาในอีก 75 ปี หากโลกยังเป็นเช่นนี้
หากเราอยู่ในเขตนั้น เพิ่มความระวังมากสุด โดยเฉพาะในปีที่มีสัญญาณเตือน
เช่นปีนี้ นักวิชาการมาเตือนเรื่องลานีญาตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อน ฝนตกหนักในภาคเหนือกลางตอนตุลาคม บ่งบอกว่าฝนใต้ปีนี้คงหนักหน่อย
ก่อนหน้าน้ำท่วม หลายเพจก็เริ่มเตือนฝนหนัก เราต้องเริ่มหาข้อมูลให้เยอะเพื่อประกอบการตัดสินใจ
แม้อาจมีบางคนออกมาพูด เดี๋ยวน้ำลด ฯลฯ ก็ต้องดูด้วยว่าจะเชื่อได้ไหม
เราต้องหาข้อมูลอื่นๆ มาเช็คว่า ที่พูดน่ะมีข้อมูลอะไรมาซัพพอร์ต ?
หากไม่มั่นใจ ถอยออกมาตั้งหลักก่อน
เพราะหากติดเป็นผู้ประสบภัย บทเรียนจากหลายที่เหมือนกันทั้งนั้น แบตหมด อาหารหมด ขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีคนมา
เฉพาะคืนที่ผ่านมา ผมอ่านข่าวอ่านตามเพจต่างๆ น่าจะมีคนติดอยู่เป็นหมื่นๆ
น้ำขึ้นสูง น้ำเชี่ยว มืด เรือเล็กเข้าไม่ได้ กู้ภัยจากที่อื่นไม่ชินเส้นทาง มีสิ่งกีดขวาง เช่น รถ/สิ่งของจมใต้น้ำ ฯลฯ
สารพัดปัญหาเหล่านี้ทำให้การกู้ภัยในยามค่ำคืนอันตรายมากๆ มันจึงยากที่จะมีใครมาช่วยเรา
ผมจึงเน้นย้ำตั้งแต่ต้น กฎข้อแรกของภัยพิบัติ คืออย่าเป็นผู้ประสบภัยจนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องรอคนอื่น
แต่ทุกอย่างมีข้อแม้ หลายคนออกมาก่อนยาก อาจเป็นผู้ชรา ผู้ป่วย ฯลฯ เป็นพ่อแม่ที่ลูกไปทำงานที่อื่น
ในยามปรกติ ท่านไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิต แต่จะวิกฤตมากเมื่อภัยมา เราคงต้องเตรียมพร้อม
อาหาร (ของแห้ง) พาวเวอร์แบงค์ชาร์จเต็ม น้ำดื่ม ยา ฯลฯ
เราอาจย้ำเตือนกับผู้อยู่ในบ้าน หาของให้พร้อมไว้ หากไม่มีอะไรก็กินใช้ต่อไปได้ แต่ถ้ามีอะไร มันสำคัญมาก
เท่าที่อ่าน คนส่วนใหญ่ไม่ได้กินอะไรมา 3 วันแล้ว บ้างก็ยาประจำตัวหมด บ้างก็เป็นแผลเป็นไข้
สมัยผมเด็กๆ เราจะมี “กล่องยาสามัญประจำบ้าน” แต่ยุคหลังไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยุคนี้อาจต้องกลับมาดูกันอีกครั้ง
การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องยากในเวลาฉุกเฉิน ไฟดับ แบตหมด ไม่มีแสงสว่างยิ่งทำให้กลัวจนพานิค ฯลฯ
ลองนั่งคิดจำลองเหตุการณ์ เอาแบบให้ร้ายแรงที่สุด จากนั้นดูสิว่าเราต้องการอะไร
เขียนรายการแล้วไปจัดมาให้พร้อม หรือจะฝากใครไปเตรียมไว้ให้พ่อแม่ผู้ชราล่วงหน้า
แล้วถ้าน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ ?
หลายคนขึ้นชั้นสองแล้วติดเหล็กดัด ออกไปไม่ได้ ชั้นล่างก็น้ำท่วมหมดแล้ว
แบบนั้นอันตรายมาก เราต้องหาทางหนีทีไล่ (ไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่ไฟไหม้จะแย่เอา)
ถ้าเขาประกาศว่าน้ำจะสูงขึ้นอีกเยอะมาก เช่น 1.45 เมตร (บอกมาตั้งแต่ตอนเที่ยงเมื่อวาน)
หากเราออกไปไกลไม่ได้ ลองดูใกล้ๆ ว่ามีตึกหรืออะไรที่จะพอไปพึ่งพาอาศัย หากบ้านเราเตี้ยหรือมีชั้นเดียว ดูแล้วไม่รอดแน่
สุดท้ายคือเมื่อภัยพิบัติผ่านไป จะเลือกนักการเมืองมาดูแลเรา ก็ควรนำป้ญหาภัยพิบัติเข้ามาคิดด้วย
คนที่เราจะเลือกมีความรู้หรือใส่ใจในเรื่องพวกนี้บ้างไหม มีอะไรมาเสนอกับเราว่าจะป้องกันยังไง
ทุกคนจะรวยขึ้น นั่นเป็นแคมเปญยุคก่อน
ยุคนี้ขอแค่เมื่อมีภัยมา เราจะมีระบบเตรียมพร้อม จะเตือนอพยพในตอนที่ยังออกมาได้
มีโลเกชั่นพร้อมช่วยผู้ป่วยติดเตียง/ผู้พึ่งพาตัวเองไม่ได้ให้ออกมาก่อน
มีพื้นที่อพยพ มีพื้นที่จอดรถที่พ้นน้ำ ไม่ใช่ปล่อยให้ไปจอดบนสะพาน กีดขวางเส้นทางช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
มีระบบติดตามน้ำที่โปร่งใส ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการวิดคราะห์และตัดสินใจของแต่ละคน
มีน้ำมันสำรองพร้อมเติมเครื่องปั่นไฟรพ.โดยไม่ต้องร้องขอ มีเรือมีอุปกรณ์เตรียมพร้อมช่วยในยามฉุกเฉิน แม้อาจไม่พอแต่ก็ต้องมีไว้บ้าง ช่วยประทังไประหว่างรอความช่วยเหลือจากภายนอก
ในยุคนี้ การเตรียมพร้อมไม่ให้คนตกอยู่ในอันตรายและไม่ให้คนจนลง อาจมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการทำให้คนรวยขึ้น
บทเรียนรัวๆ ใน 2 ปีที่ผ่านมา จากน่าน เชียงราย เชียงใหม่ จนถึงหาดใหญ่ คงพอบอกเพื่อนธรณ์ได้ว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัติโลกร้อนมันมาถึงเราแล้ว และมีแต่จะเพิ่มขึ้น
ให้กำลังใจชาวหาดใหญ่และชาวใต้ผู้ประสบภัย หากเพื่อนธรณ์ไม่รู้จะช่วยอย่างไร บริจาคเงินไปตามหน่วยงาน/องค์กรที่เชื่อถือได้
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่เข้าไปกู้ภัยช่วยชาวบ้าน พวกคุณคือผู้เสียสละ ขอให้ทุกคนปลอดภัย
หวังเป็นอย่างยิ่งมาเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันครั้งต่อๆ ไป เราจะรับมือได้ดีกว่านี้ครับ


