xs
xsm
sm
md
lg

"เทพไท"วิเคราะห์ทำไมต้องมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า ผมขอวิเคราะห์ผลการสำรวจของนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทางการเมืองเป็นรายสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และล่าสุดภาคตะวันออก ซึ่งผลของการสำรวจมีแนวโน้มในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน จึงขออนุญาตวิเคราะห์ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทางการเมืองของภาคตะวันออกเป็นหลัก จะพบว่า จากการสอบถามความเห็นของประชาชนว่า จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี และจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาล

ผลของการสำรวจปรากฎว่า ลำดับของความนิยมทั้งตัวบุคคลและพรรคเป็นไปตามลำดับเหมือนกันเกือบทั้งหมด แต่คะแนนความนิยมระหว่างบุคคลกับคะแนนความนิยมของพรรค ที่ไม่สอดคล้องกันก็คือ

1.ความนิยมของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ซึ่งมีความนิยม 15.90% เมื่อเทียบกับความนิยมของพรรคประชาชน ที่มีสูงถึง 24.65% แสดงให้เห็นว่าต่างกันเกือบ 10% การที่พรรคประชาชนต้องมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค3คน และประกาศชื่อชัดเจนแล้วคือ 1.นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 2.นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล 3.นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ก็เพื่อเติมเต็มคะแนนนิยมในตัวบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับคะแนนนิยมของพรรค ซึ่งเห็นได้ว่า ถ้าหากมีกระแสความนิยมของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในแต่ละคนมารวมกัน จะทำให้คะแนนนิยมตัวบุคคลกับพรรคใกล้เคียงกัน

2.คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย จะเห็นได้ว่า คะแนนนิยมของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะบทบาทนายกรัฐมนตรีมีคะแนนนิยมสูงถึง 15.35% ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย 10.95% ต่ำกว่าคะแนนนิยมของหัวหน้าพรรค ซึ่งโดยปกติคะแนนนิยมทั้งหัวหน้าพรรคและคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทยไม่ได้สูงขนาดนี้ แต่เมื่อนายอนุทินเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้บทบาทเด่น คะแนนนิยมตัวบุคคลจึงสูง แต่คะแนนนิยมพรรคยังต่ำอยู่ จึงต้องประกาศชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส กับนางศุภจี สุธรรมพันธ์ เพื่อหวังคะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้น

3.คะแนนนิยมของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่ที่ 3.65% แต่คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย อยู่ที่ 7.50% แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมตัวบุคคลต่ำกว่ามาก จึงเป็นการบ้านที่พรรคเพื่อไทย จะต้องไปประกาศตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มีคะแนนนิยมใกล้เคียงกับพรรคให้มากที่สุด

ส่วนพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยมทั้งตัวบุคคลและคะแนนพรรคไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกัน คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคะแนนนิยม 7.95% ในขณะที่คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค อยู่ที่ 8.20% ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่งอาจไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มก็ได้ แต่ถ้าหากจะให้เป็นไปตามบริบทการเมืองในยุคปัจจุบัน จะประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ3คนก็เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

ส่วนอีกพรรคหนึ่งคือพรรคน้องใหม่ เป็นพรรคม้ามืด คือพรรคเศรษฐกิจ ที่มีคะแนนนิยม 4.25% ในขณะที่คะแนนนิยมหัวหน้าพรรค คือพลเอกรังษี กิตติญานทรัพย์ มีคะแนนนิยม 5.60% ก็ถือว่าใกล้เคียงกัน เป็นกระแสนิยมของหัวหน้าพรรค ที่มาจากกระแสทางสื่อโซเชียล ที่หัวหน้าพรรคมีบทบาทสำคัญในการออกทีวี วิเคราะห์ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นที่ถูกใจของคนรักชาติหรือคนชาตินิยม จึงทำให้คะแนนของพลเอกรังสี และพรรคเศรษฐกิจ จึงเป็นที่นิยมอย่างพลิกความคาดหมาย

การที่พรรคการเมืองจะปรับกลยุทธ์เข้าสู่สนามเลือกตั้ง จะประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ3คนหรือไม่ ก็เป็นกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองแต่ละพรรค แต่ถ้าหากว่าคะแนนนิยมของตัวบุคคลกับคะแนนนิยมของพรรคไม่สอดคล้องกัน ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องปรับบทบาททั้งของตัวบุคคลและของพรรคให้สอดคล้องกัน เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้