นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปี 2568 ประชาชนหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ยาวนานกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต บ้านเรือน และทรัพย์สิน ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
สำหรับปี 2568 แม้หน่วยงานมีการเตรียมพร้อมระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดยปรับเป้าหมายให้เขื่อนมีปริมาณน้ำในช่วงสิ้นสุดฤดูฝน ร้อยละ 80 ของความจุเก็บกัก จากเป้าหมายเดิมที่มุ่งเก็บน้ำให้เต็ม ความจุ เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มช่องว่างรองรับน้ำของเขื่อนให้มากขึ้น และยังคงมีการทยอยระบายน้ำในช่วงระหว่างฤดูอย่างต่อเนื่อง แต่สภาพอากาศแปรปรวนในปีนี้ ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุถึง 6 ลูก ได้แก่ พายุวิภา คาจิกิ หนองฟ้า ตาปะฮ์ รากาซา และบัวลอย ส่งผลให้ร่องความกดอากาศและหย่อมความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง ทำให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมากตลอดฤดู และมีน้ำไหลเข้าสะสมในเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบายน้ำของเขื่อนจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ท้ายน้ำควบคู่กันไป ในหลายช่วงเวลาจึงจำเป็นต้องมีการลดการระบายน้ำเพื่อช่วยหน่วงน้ำไว้ในเขื่อน ไม่ให้ไหลไปสมทบในพื้นที่ที่มีระดับน้ำสูงอยู่แล้ว ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำจำนวนมากในช่วงปลายฤดูฝน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลที่ต้องระบายน้ำในอัตรา 30 – 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงสามารถรักษาอัตราการระบายอย่างคงที่ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยน้ำจากเขื่อนในพื้นที่ตอนบนของประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของน้ำท่าที่ไหลจากเขื่อนเจ้าพระยา
สำหรับปี 2568 แม้หน่วยงานมีการเตรียมพร้อมระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดยปรับเป้าหมายให้เขื่อนมีปริมาณน้ำในช่วงสิ้นสุดฤดูฝน ร้อยละ 80 ของความจุเก็บกัก จากเป้าหมายเดิมที่มุ่งเก็บน้ำให้เต็ม ความจุ เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มช่องว่างรองรับน้ำของเขื่อนให้มากขึ้น และยังคงมีการทยอยระบายน้ำในช่วงระหว่างฤดูอย่างต่อเนื่อง แต่สภาพอากาศแปรปรวนในปีนี้ ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุถึง 6 ลูก ได้แก่ พายุวิภา คาจิกิ หนองฟ้า ตาปะฮ์ รากาซา และบัวลอย ส่งผลให้ร่องความกดอากาศและหย่อมความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง ทำให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมากตลอดฤดู และมีน้ำไหลเข้าสะสมในเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบายน้ำของเขื่อนจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ท้ายน้ำควบคู่กันไป ในหลายช่วงเวลาจึงจำเป็นต้องมีการลดการระบายน้ำเพื่อช่วยหน่วงน้ำไว้ในเขื่อน ไม่ให้ไหลไปสมทบในพื้นที่ที่มีระดับน้ำสูงอยู่แล้ว ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำจำนวนมากในช่วงปลายฤดูฝน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลที่ต้องระบายน้ำในอัตรา 30 – 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงสามารถรักษาอัตราการระบายอย่างคงที่ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยน้ำจากเขื่อนในพื้นที่ตอนบนของประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของน้ำท่าที่ไหลจากเขื่อนเจ้าพระยา


