xs
xsm
sm
md
lg

ทภ.2 ยืนยันไทยให้ความสำคัญต่อหลักมนุษยธรรม-การปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ระบุว่า การคุ้มครองศักดิ์ศรีและชีวิตของบุคคลที่ผ่านสภาวะบอบช้ำจากพื้นที่ขัดแย้ง มาตรฐานด้านมนุษยธรรมต่อผู้ผ่านสภาวะความตึงเครียดจากการสู้รบ

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย และปรากฏว่าได้กลับไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น ฝ่ายไทย ขอเรียนว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดำเนินการดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์
ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสม

หลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบโดยทันทีโดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ

กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายความเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ ไทยยืนหยัดในหลักการว่า “ทุกชีวิตมีคุณค่า และต้องได้รับการปกป้องภายใต้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญของความมั่นคงสมัยใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน


ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย และปรากฏว่าได้กลับไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น ฝ่ายไทย ขอเรียนว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดำเนินการดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์

ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสม

หลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบโดยทันทีโดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ

กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และการปฏิบัติต่อเชลยศึกตามมาตรฐานสากลมาโดยตลอด ทั้งยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายความเป็นปรปักษ์ ลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ ไทยยืนหยัดในหลักการว่า “ทุกชีวิตมีคุณค่า และต้องได้รับการปกป้องภายใต้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญของความมั่นคงสมัยใหม่และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน