นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส โดย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. รวม 18 วัน ว่า มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการฯ สำเร็จแล้วกว่า 19 ล้านราย รายได้ร้านค้าทุกประเภท 40,074 ล้านบาท แบ่งเป็นร้านค้าปกติ 39,220 ล้านบาท ร้านผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery 854 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายดังกล่าวแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 20,305 ล้านบาท จากร้านค้าปกติ 19,869 ล้านบาท ร้านผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery 436 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 19,768 ล้านบาท จากร้านค้าปกติ 19,350 ล้านบาท ร้านผ่านแพลตฟอร์ม Food Delivery 418 ล้านบาท
โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00-23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" โดยในแต่ละวันไม่จำเป็น ต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท
ด้านความคืบหน้าของการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการฯ จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. มีร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้วจำนวน 933,300 ราย ทั้งนี้ มีผู้ที่ลงทะเบียนที่ใช้สิทธิครบเต็มจำนวนอยู่ที่ 795,699 ราย
นายวินิจกล่าวว่า การใช้จ่ายในโครงการฯ จะต้องเป็นการซื้อขายสินค้า และบริการเฉพาะบริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า โดยผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการแบบพบหน้า (Face to Face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือผ่านคนกลาง เว้นแต่การใช้สิทธิผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการนวด และสปา ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ขอให้ตรวจสอบชื่อและที่ตั้งของสถานประกอบการในแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ให้ตรงกับใบอนุญาตสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ และอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังมีรายละเอียดวิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลร้านค้าถุงเงินบนเว็บไซต์ถุงเงินกรุงไทยปรากฏตาม QR Code


