นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิด นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส. ซึ่งถูกคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีมติให้อายัดทรัพย์สินกับพวกรวม 159 ล้านบาท ไว้ตรวจสอบ
หลังถูกกล่าวหาว่าร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์การพนันออนไลน์อื่นๆ และพบเส้นทางการเงินของบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 นั้น เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 กำหนดให้เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น "วาระแห่งชาติ" ทำให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กับการบังคับใช้กฎหมาย
โดยเฉพาะ ปปง. ได้ทำการสืบสวนขยายผลและบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบ วิเคราะห์ และรวบรวมพยานหลักฐานของกลุ่มบุคคลผู้ร่วมกันจัดให้มีการ เล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในเว็บไซต์การพนันต่างๆ ปรากฏว่า ได้พบเส้นทางการเงินของบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายชนนพัฒฐ์ฯ กับพวก ซึ่งอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. จึงมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ในรายคดีดังกล่าวไว้ตรวจสอบเป็นการชั่วคราว
แต่เนื่องจากนายชนนพัฒฐ์ เป็น สส. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง. ได้ใช้อำนาจตามกฎฎหมายในการสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว กลายเป็นที่ครหาของสังคมอย่างมาก อันอาจถือได้ว่ามิได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น ไม่ประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง เป็นการถือประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระได้ร่วมกันกำหนดไว้ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 บัญญัติให้ใช้บังคับกับองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงนำความพร้อมพยานหลักฐานต่าง ๆ มายื่นร้องให้ ป.ป.ช. ได้พิจารณาไต่สวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิดเพื่อส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาพิพากษาตามครรลองของกฎหมาย เหมือนอดีตนักการเมืองในอดีตที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองนับ 10 ปีต่อไป


