พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่สังคมมีข้อห่วงใยและให้ความสนใจในประเด็นเรื่องการถอนอาวุธหนักที่ไทยได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action plan) ในปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา ภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อ 26 ต.ค.68 ที่ผ่านมา และตามข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา
โดยโฆษกกองทัพบกกล่าวว่า สำหรับแนวทางการถอนอาวุธนั้น จะเริ่มดำเนินการในส่วนเฉพาะอาวุธหนัก 3 กลุ่ม ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง (ประเภท A) , ปืนใหญ่ (ประเภท B) และรถถังหรือรถประเภทยานเกราะ (ประเภท C) ซึ่งเป็นไปตามห้วงระยะเวลาที่กำหนด ตั้งแต่ 1 พ.ย.68 โดยเป็นอาวุธที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร และถึงแม้ว่าอาวุธบางส่วนถูกปรับออกจากพื้นที่หน้าแนว แต่ยังคงมีกำลังกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ที่ยังคงเตรียมความพร้อมทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของหน่วยอยู่ในแนวรับผิดชอบในเขตอธิปไตยของประเทศไทยตามเดิม
และในส่วนของความคุ้มครองด้วยอาวุธสนับสนุนระยะไกลเพื่อปกป้องประชาชนกรณีมีเหตุฉุกเฉินนั้น โฆษกกองทัพบกกล่าวว่ายังมีกลไกเสริมหลายวิธีที่สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งหากมองเรื่องระยะทางในการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักกลับเข้าสู่พื้นที่เพื่อปฏิบัติภารกิจ ยอมรับว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการบ้าง แต่ยังมีองค์ประกอบสนับสนุนอื่นที่สามารถนำมาชดเชยได้หากเกิดสถานการณ์ ซึ่งอยู่ที่วิธีบริหารจัดการรองรับต่อสภาวะฉุกเฉินนั้นๆ
ทั้งนี้ ด้วยบรรยากาศสภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน ทำให้บางอย่างอาจไม่สามารถสื่อสารลงรายละเอียดได้มาก แต่กองทัพบกขอยืนยันในความพร้อมของกำลัง และให้ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ากองทัพบกพร้อมปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตย ดูแลความปลอดภัยของประชาชนและรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถในทุกพื้นที่และในทันที
                    

