นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เร่งพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ ให้มีมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงบุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณา และการใช้ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ พร้อมทั้งให้เร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายหรือผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าด้วย
รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณาและการใช้ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ และดำเนินการตามหลักการในมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ให้มีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังเร่งผลักดันให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากธุรกิจบุหรี่ หรือมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากสถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง โดยข้อมูลสถิติล่าสุดพบว่า ยอดผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนกว่า 400,000 คน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อเสนอทั้งหมดของ กสม. นั้น ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
นางสาวอัยรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยปัจจุบันมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งของคนในครอบครัว คนรอบข้าง เพื่อนในสังคม และสังคมโดยรวม รวมถึงปัญหาการจำหน่ายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ในช่วงปี 2564 - 2567 ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้น โดย ณ ปัจจุบัน เพิ่มจากจำนวน 78,252 คน ในปี 2564 และเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 400,454 คน ในปี 2567 ซึ่งคิดเป็นตัวเลข 1 ใน 4 หรือ 214,863 คน
กระทรวงสาธารณสุข ระบุข้อมูลว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นวัยที่สมองยังอยู่ในระยะการพัฒนา สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์รุนแรงในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองในด้าน สมาธิ การเรียนรู้ และพฤติกรรม
นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ในที่สุด มีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยส่วนใหญ่เป็นเยาวชนอายุเพียง 15 ปี และบางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ส่วนปัจจัยที่ทำให้การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น คือ การซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการนำเสนอภาพลักษณ์ของบุหรี่ไฟฟ้าที่ดึงดูดใจผู้บริโภคกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปทรง รสชาติ และการตลาดที่มุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนมากขึ้น


