นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ว่า ถือเป็นสงครามมวลมนุษยชาติของประชาคมโลก ฉะนั้น รัฐบาลควรจะมองเห็น และให้ความร่วมมือกับนานาประเทศที่ประสบปัญหาการถูกโกงจากสแกมเมอร์ รวมทั้งจะต้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างเข้มแข็งกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งเป็นกลไกลสำคัญของสหประชาชาติ ที่พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ ให้หมดไปจากประชาคม ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด มีจุดยืนที่ชัดเจน ในการร่วมมือกับนานาประเทศ และเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทั้งหลายขององค์การสหประชาชาติ
“ผมขอยกตัวอย่างสิ่งที่เราทำไว้ ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่เห็นการดำเนินการ หรือการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลได้ทำในอดีต คือ กระทรวงต่างประเทศ โดยผมและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ริเริ่ม การประชุมหารือครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการประชุม 3 ฝ่าย โดยมีไทย เมียนมา และอินเดีย ส่วนครั้งที่สองเป็นการประชุม 4 ฝ่าย โดยมีไทย จีน ลาว และเมียนมา ซึ่งวัตถุประสงค์ของการประชุมสองครั้งที่ผ่านมา เราต้องการที่จะผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ 2 ประการ ความพยายามที่จะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในประเทศเมียนมา เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ และความต้องการที่จะแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์ ทั้ง 2 เรื่องนี้ เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถแก้ปัญหา 2 อย่างได้โดยใช้มาตรการ-กลยุทธ์เพียงอันเดียว” นายมาริษ กล่าว
นายมาริษ ระบุว่า ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดอยู่ที่การมีธุรกิจสีเทา อยู่ตามบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์-ไทย รัฐบาลเพื่อไทย จึงพยายามผลักดันให้มีการประชุม 3 ฝ่ายระหว่างไทย เมียนมา และอินเดีย ภายใต้กรอบของ BIMSTEC โดยพยายามใช้ความเป็นเพื่อนบ้านระหว่าง 3 ประเทศ และใช้ความเป็นสมาชิกระหว่างกลุ่มพหุภาคีในการกดดันเพื่อให้ประเทศเมียนมา ให้ความร่วมมืออย่างจริงจังที่จะแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องสแกมเมอร์
ส่วนอีกกรอบคือ การประชุม 4 ฝ่ายระหว่างไทย เมียนมา ลาว และจีน ซึ่งเป็นกรอบภายใต้ความร่วมมือของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง-ล้านช้าง ซึ่งเป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่สามารถสร้างทั้งความร่วมมือ และผลักดันให้ประเทศเมียนมาให้ความร่วมมืออย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหา
“ต้องยอมรับว่าจีน และอินเดีย เป็นมหาอำนาจที่อยู่ในภูมิภาค ฉะนั้น จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้เมียนมาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง ซึ่งปรากฏผลเป็นเช่นนั้นจริง ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยร่วมกับจีน และได้มีการประชุมแบบลงรายละเอียดในการแก้ไขปัญหา มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เส้นทางการเงินของการทำธุรกิจสีเทา ซึ่งในท้ายที่สุดรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศว่าได้มีการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ผ่านนโยบาย 3 ตัด ซึ่งทั้งเมียนมา และรัฐบาลจีนเอง ก็ได้ให้ความร่วมมือจนนำไปซึ่งการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นายมาริษ กล่าว
นายมาริษ ยังระบุด้วยว่า หลังจากที่ไทยได้มีมาตรการในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในฝั่งประเทศเมียนมาอย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องปกติที่กลุ่มธุรกิจสีเทาจะหาทางออกโดยการย้ายฐานเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ดังนั้น หากรัฐบาลปัจจุบัน ยังไม่ได้มีการดำเนินการสานต่อ หรือยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้ ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมสูญเสียไป และเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ควรจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันต้องต่อยอด เพื่อรักษาโมเมนตัมของการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ซึ่งไทยสามารถให้ประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจในการเข้ามาช่วยกดดัน
ส่วนการแก้ไขปัญหากัมพูชานั้น นายมาริษ ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา ไทยกัมพูชามีปัญหาการกระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดน ซึ่งทำให้เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาร่วมกันกับไทยในการปราบปรามสแกมเมอร์ หรืออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจว่า จะใช้กลไกเช่นเดียวกันในการประชุม 3 ฝ่าย ซึ่งจะมีไทย จีน และกัมพูชา ที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในฝั่งของประเทศเมียนมา แต่ด้วยเหตุการณ์การทบกระทั่งกัน จึงทำให้เรื่องเหล่านี้มีความล่าช้าออกไป แต่ในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้หารือกับประเทศจีน รวมทั้งได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา
ส่วนในกรอบของสหประชาชาตินั้น นายมาริษ ย้ำว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีบทบาทที่สำคัญและดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับสหประชาชาติ ในกรอบของ UNODC ซึ่งนำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศว่า เส้นทางการขนส่งเม็ดเงินที่นำไปทำธุรกิจผิดกฎหมายมีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ได้ออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับ เช่น สั่งการให้กระทรวงการคลังดำเนินการแก้ไขปัญหา ร่วมกับธนาคารต่างๆ เพื่อที่จะอายัดบัญชีเงินของนักธุรกิจที่ทำผิดกฎหมาย หรือจะนำไปใช้เป็นทุนในการสร้างธุรกิจสีเทา รวมทั้งมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศ ที่มีมาตรการต่างๆ ในการเข้าไปปิด บัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา
นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดรัฐบาล จะต้องทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ในกรอบของสหประชาชาติ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนได้แล้ว ก็ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อีกหลายปัญหา ทั้งการบริหารจัดการน้ำ การแก้ไขปัญหาสารพิษ รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน
ส่วนความร่วมมือประชาคมอาเซียนนั้น นายมาริษ เห็นว่า รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือ และกลไกรวบรวมทรัพยากรของประเทศสมาชิก เพื่อแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ที่มุ่งเน้นเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งสามารถสร้างเงื่อนไขทำให้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียน มีความกินดีอยู่ดี เพียงต้องโฟกัสปัญหาจริง ๆ และกระชับความร่วมมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การร่วมกันตัดเส้นทางในการส่งเงินทุนเข้าไปในธุรกิจสีเทา และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก
นายมาริษ ยังเชื่อว่า การจัดการปัญหาสแกมเมอร์ รัฐบาลทุกรัฐบาล ต่างก็มีนโยบายในเรื่องนี้ แต่สิ่งสำคัญคือ การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้เยอะมาก ทั้งในส่วนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ
“โจทย์วันนี้ไม่ใช่เรื่องของการมีนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประเทศไทยมีบทบาทนำในการปราบปรามสแกมเมอร์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” นายมาริษ กล่าว


