เพจพรรคประชาชน โพสต์ระบุว่า [ ผ่านแล้ว! พ.ร.บ.อากาศสะอาด นับหนึ่งสู่การส่งมอบอากาศดีให้คนไทย คนก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ ]
หลังจากสภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด มาอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ล้มลุกคลุกคลานไปกับเหตุการณ์สภาล่มเพราะองค์ประชุมไม่ครบ ในที่สุดวันนี้ (21 ตุลาคม 2568) สามารถพิจารณาเรียงตามมาตราได้จนครบทุกมาตรา และลงมติผ่านร่างในวาระที่ 3
กฎหมายนี้มีความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับการปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน จนเป็นสาเหตุนำไปสู่ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมาต่อเนื่องหลายสิบปีในประเทศไทย
พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญต่อการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 แต่เครื่องมือทุกชนิด จะมีประสิทธิภาพหรือไม่ อยู่ที่ “ผู้ใช้” ว่าจะสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ ตอบโจทย์การแก้ปัญหาหรือไม่ด้วย
จากกฎหมายที่ริเริ่มโดยภาคประชาชนตั้งแต่ปี 2562 มาสู่การรับไม้ต่อโดยฝ่ายการเมือง โดยใช้ร่างของภาคประชาชนเป็นต้นแบบ พรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลในเวลานั้น ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการก่อมลพิษข้ามแดน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ซึ่งนำมาสู่การออกแบบกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกันในชั้นกรรมาธิการระหว่างภาคประชาชน พรรคการเมือง และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
หลังจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะเข้าสู่วุฒิสภา ซึ่งหากวุฒิสภาพิจารณาภายในกรอบเวลา 30 วันโดยไม่ขอขยายอีก 30 วันนั้น คาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะแล้วเสร็จทุกกระบวนการก่อนยุบสภาในช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2569 และมีผลบังคับใช้ในอีกไม่นานเกินรอ
พรรคประชาชนจะติดตามการทำงานของวุฒิสภาอย่างใกล้ชิด พร้อมชี้แจงข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาแล้วเสร็จตามกรอบเวลา และหากมีการแก้ไขในส่วนของถ้อยคำที่ตกหล่น ก็ให้กลับมาสู่ชั้นสภาผู้แทนราษฎรลงมติอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม ทั้งนี้เพื่อสามารถอธิบายให้วุฒิสภามีความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ ไม่แก้ไขในหลักการภาพใหญ่ที่ผ่านการพิจารณาจากทุกภาคส่วนมาอย่างถี่ถ้วน
กฎหมายฉบับนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายประการ เริ่มจากประเด็นที่ภาคประชาชนได้ริเริ่มไว้แต่แรก ไม่ว่าจะเป็น
-การกำหนดสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชน ควบคู่กับมิติสุขภาพ
-ยึดหลักการ ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) พร้อมมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อมลพิษ ตามหลักการ Carrot and Stick
-มีบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ
-การจัดการร่วม รวมถึงการบูรณาการข้อมูลทุกภาคส่วนระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน
รวมถึงสิ่งที่พรรคประชาชน/ก้าวไกล นำเสนอผ่านร่าง พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการก่อมลพิษข้ามแดน และกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคทั้ง 6 คน ไม่ว่าจะเป็น
-ระบบตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมลพิษข้ามแดน พร้อมระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล หลักการนี้เป็นการเสริมกำลังจากส่วนที่ยังขาดในกฎหมายมลพิษข้ามแดนของสิงคโปร์ ที่ขาดเครื่องมือการเอาผิดกับต้นตอที่มีบริษัทย่อยบังหน้า
-บทบังคับโทษบุคคลหรือผู้ประกอบการ ในกรณีตรวจพบว่าเป็นต้นเหตุของมลพิษทางอากาศ หรือแจ้งเท็จ หรือส่งข้อมูลล่าช้า
-หลักการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง มีบทบาทชัดเจนในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
-โดยให้นายก อบจ. ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด มีอำนาจทั้งการประกาศเขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษ รวมทั้งอำนาจสั่งการต่างๆ
-มีฐานข้อมูลกลางที่เปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะการประกาศรายชื่อผู้ก่อมลพิษและผลิตภัณฑ์ที่เป็นต้นเหตุ (Name and Shame)
-จากนโยบายการตรวจมะเร็งปอด Low-dose CT scan มาสู่การออกกฎหมาย การกำหนดสิทธิกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อเนื่อง สามารถเข้ารับบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง
-หลักการจาก Clean Air Act ประเทศสหรัฐอเมริกาในการกำหนดพื้นที่ Attainment และ Non-attainment area เพื่อออกมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติโดยเฉพาะสำหรับพื้นที่ประสบมลพิษทางอากาศอย่างหนักมาต่อเนื่อง
แน่นอนว่าการปรับกฎหมายให้มีความทันสมัยขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน หากรัฐบาลไม่จริงจังกับการบังคับใช้ เกรงใจต่อกลุ่มทุนหรือผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ แต่อย่างน้อยกฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้รัฐสามารถมีช่องทางในการจัดการป้องกัน และควบคุมต้นเหตุของมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งพรรคประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าหากเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล รัฐบาลประชาชนจะบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
กฎหมายอากาศสะอาดผ่านได้ด้วยความริเริ่มของภาคประชาชนและความร่วมมือร่วมใจของฝ่ายการเมือง เรามีความหวังเป็นอย่างมากว่าความร่วมมือร่วมใจนี้จะดำเนินต่อไป แปรเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของสังคมไทยที่จะปกป้องลมหายใจของประชาชน ส่งต่ออากาศที่ดีให้ลูกหลานของเราต่อไป