ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) (BYD) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ซึ่งงวด 6 เดือน บริษัทขาดทุนสุทธิ 2,668 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้กู้ยืมแก่ TSB 2,652 ล้านบาท รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเงินให้กู้ยืมกับ ACE ซึ่งกรณีข้างต้นกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท โดยขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ในส่วนความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบขอให้ชี้แจงภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นอกจากนี้ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินและติดตามคำชี้แจงของบริษัท
ตั้งแต่ปี 65 บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) (BYD) มีการให้เงินกู้ยืมกับบริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE : บริษัทร่วม 49%) และบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB : บริษัทร่วมทางอ้อม ซึ่งถือหุ้นโดย ACE 100%) เพื่อสนับสนุนการลงทุนขยายธุรกิจของ TSB ซึ่งประกอบธุรกิจขนส่งสาธารณะประจำทาง โดยปัจุบันมียอดเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับกับ TSB รวม 10,759 ล้านบาท มีการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 7,561 ล้านบาท มีการพักชำระคืนเงินต้นออกไปเป็นไม่เกิน 31 มกราคม 2570 และพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี โดยยังคงคำนวณดอกเบี้ย
เดือนมกราคม 2568 BYD มีการให้เงินกู้ยืมกับ ACE รวม 1,050 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่ ACE กู้มาเพื่อลงทุนซื้อรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้กลุ่ม TSB เช่าซื้อสำหรับดำเนินกิจการ กำหนดชำระ 31 มีนาคม 2568 ซึ่งในเดือนมีนาคม 2568 ACE ชำระคืนเงินกู้ 430 ล้านบาท สำหรับเงินให้กู้ยืมอีก 620 ล้านบาท BYD ได้ขยายเวลาชำระคืนเงินกู้เป็น 31 มกราคม 2574 และลดดอกเบี้ยเป็นจาก 6-7% เป็น 4% และให้ TSB ชำระคืนเงินกู้โดยตรงให้ BYD รวมทั้งให้ TSB เข้าค้ำประกันการชำระหนี้ ซึ่งในเรื่องนี้ BYD ได้ชี้แจงใน MD&A ว่าเหตุผลคือผลประกอบการของ TSB ไม่เป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ ซึ่ง TSB ต้องปรับวิธีคิดค่าโดยสารโดยให้อ้างอิงตามตารางบันไดราคาตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ส่งผลให้รายได้ของ TSB ลดลงจากที่ประมาณการไว้อย่างมีสาระสำคัญ
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เคยให้ BYD ชี้แจงเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง BYD ได้ชี้แจงข้อมูลว่าการบันทึกค่าเผื่อฯ เงินให้กู้ยืมกับ TSB 4,909 ล้านบาท ในงบปี 67 มีความสมเหตุสมผลและครบถ้วน โดยคาดการณ์จากปัจจัยแวดล้อม เช่น ผลกระทบจากจำนวนผู้โดยสารที่อาจลดลงจากนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น และต่อมาได้บันทึกค่าเผื่อฯ เงินให้กู้ยืมกับ TSB เพิ่มเติม 73 ล้านบาท ในงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยเป็นเงินสด ทำให้ต้องคำนวณค่าเผื่อฯ ใหม่ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงอย่างรอบคอบและรัดกุม
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ชี้แจงข้อมูล ดังนี้
1. การขยายเวลาชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับ ACE ลดอัตราดอกเบี้ย และให้ TSB ชำระหนี้แทนและเข้าค้ำประกันชำระหนี้ มีผลกระทบกับบริษัทในเรื่องดังต่อไปนี้อย่างไร
• Counterparty Credit Risk เปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร รวมถึงกรณีที่ต้องมีการฟ้องร้องหากไม่สามารถชำระหนี้ได้
• อัตราดอกเบี้ย คุณภาพและมูลค่าหลักประกัน (รถโดยสารไฟฟ้าที่ TSB ใช้ในการทำธุรกิจ) ที่บริษัทได้รับเหมาะสมและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปและความสามารถในการชำระหนี้ของ TSB หรือไม่ อย่างไร อ้างอิงกับข้อมูลใด
• เงื่อนไขใหม่นี้กระทบกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน สภาพคล่องของบริษัท หรือเป็นประโยชน์กับบริษัทอย่างไร ปัจจุบันถือว่าบริษัทมี Exposure กับ TSB เป็นสัดส่วนเท่าไร บริษัทมีมาตรการในการดูแล ติดตาม และจำกัดความเสี่ยงอย่างไร เนื่องจากบริษัทชี้แจงว่ารายได้ของ TSB ลดลงจากที่ประมาณการไว้อย่างมีสาระสำคัญ
• รายละเอียดของกระบวนการพิจารณาและผู้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ของเงินให้กู้ยืมกับ ACE รวมถึงเป็นไปตามเกณฑ์และนโยบายของบริษัทหรือไม่ อย่างไร
2. ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับความเหมาะสมของการพิจารณาการให้กู้ยืมและการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่างๆ