นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกระแสความผิดหวังจากการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในประชาธิปไตย เข้าใจว่าจะต้องมีบางส่วนไม่พอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราตัดสินใจไปเพราะต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ระบอบการปกครองของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเดินหน้าในการปฏิรูปกองทัพ หยุดยั้งวงจรปฏิวัติรัฐประหาร และไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างรอบด้าน เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก โดยช่วง 4 เดือนนี้ จะเป็นเรื่องของที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เรามองไปไกลกว่านั้น คือหลังการเลือกตั้งไปแล้วและสมมติมีการทำประชามติผ่าน เนื้อหาภายในรัฐธรรมนูญจะต้องมีการปรับปรุงอย่างไรบ้าง จะทำอย่างไรให้องค์กรอิสระไม่กลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง มีการตรวจสอบจริง ๆ ปราบปรามการทุจริตคอรัปชันได้จริง ๆ อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น
ในส่วนของข้อเสนอทางการเมืองที่มีความละเอียดอ่อน จะส่งผลต่อทิศทางการเมืองไทยหรือส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไรบ้าง เราก็ต้องใช้กระบวนการในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นสภาที่ปรึกษาผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่พรรคประชาชนได้ออกแบบกระบวนการไว้ ให้ประชาชนจากทุกพื้นที่มาสะท้อนความเห็น ให้กรรมาธิการยกร่างฯ กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการหารือ ทั้งประเด็นละเอียดอ่อนและเรื่องปากท้องของประชาชน
สำหรับประเด็นการทำประชามติเกี่ยวกับ MOU 43 และ MOU 44 ก็มีความเห็นว่า ผลจากนิด้าโพลก็สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจมากนักเกี่ยวเนื้อหาและรายละเอียดของ MOU ดังนั้นสิ่งที่จะให้ประชามติมีคุณภาพคือควรเป็นการลงเสียงอย่างมีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในเรื่อง MOU ที่อาจไม่สามารถจัดเวทีสาธารณะเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนได้อย่างรอบด้าน เนื่องจากบางประเด็นอาจไม่สามารถเปิดเผยได้ ขนาดมีการถกกันในรัฐสภายังต้องทำในทางลับ เพราะบางเรื่องหากพูดไปอาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ก็เป็นข้อห่วงใยว่าอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากประชามติ อาจไม่ใช่เจตจำนงของประชาชนจริงๆ ซึ่งทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะเสนอให้ทบทวน เชื่อว่านอกจากเสียงของเราแล้ว นายกรัฐมนตรีก็คงได้ยินเสียงจากนักวิชาการมาเช่นกัน มองว่าในเมื่อประชาชนมอบความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารงาน ก็ควรเป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะตัดสินใจ ไม่ควรเป็นภาระให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่มีความละเอียดซับซ้อน รัฐบาลจะรับผิดรับชอบอย่างไรก็ควรทำเองได้เลย รัฐบาลควรเป็นผู้ออกแบบกระบวนการพิจารณาในเรื่องนี้ คิดว่าการทำประชามติประเด็นนี้เหมาะกับจังหวะเวลาหรือไม่นั้น มองว่า เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนต้องมีการเลือกหลายอย่าง หากมีประเด็นที่ต้องลงมติเพิ่มขึ้นมาอีก ก็อาจเป็นการเพิ่มภาระให้ประชาชนหรือไม่ เพราะต้องทำความเข้าใจหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ก็มีความเป็นห่วงในจุดนี้ แต่ก็คงให้สังคมเป็นผู้วิเคราะห์ว่าเหมาะหรือไม่ อย่างไร และเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ ในฐานะฝ่ายค้าน เราก็คงมีการส่งเสียงคัดค้านว่าเราไม่เห็นด้วยกับการให้ประชาชนลงมติในเรื่องที่ไม่สามารถรับรู้รายละเอียดหรือข้อมูลข่าวสารได้อย่างครบถ้วน เราเคารพการตัดสินใจของประชาชนหากมีการลงมติ แต่สิ่งที่สำคัญคือกระบวนการก่อนทำประชามติมากกว่า สมมติว่าส่งเสียงคัดค้านแล้ว รัฐบาลยังยืนยันทำประชามติ สิ่งที่จะทำต่อไปคือการรณรงค์และพยายามทำให้ประชาชนสามารถทำความเข้าใจกับรายละเอียดที่ซับซ้อนให้ได้มากที่สุด