xs
xsm
sm
md
lg

ขยายเวลาห้ามบินโดรน 5 จังหวัดชายแดน-พื้นที่ความมั่นคงต่อถึง 15 ต.ค.68

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศ "ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา" มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

สำหรับพื้นที่ที่ยังคงห้ามบินเด็ดขาด ได้แก่

- 5 จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึกหรือมีกองกำลังภาคพื้น ได้แก่ สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี
- พื้นที่อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี, อำเภอเมืองระยอง จ.ระยอง, อำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และอำเภอเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี
- พื้นที่รัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบินที่กำหนด ได้แก่ สนามบินเชียงใหม่ สนามบินพิษณุโลก สนามบินอุดรธานี สนามบินน้ำพอง สนามบินตาคลี สนามบินอุบลราชธานี สนามบินโคราช สนามบินวัฒนานคร สนามบินกำแพงแสน สนามบินดอนเมือง สนามบินโคกกระเทียม สนามบินประจวบ สนามบินสุราษฎร์ธานี และสนามบินหาดใหญ่
- พื้นที่ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงประกาศเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ

โดยมีเงื่อนไขในการทำการบิน ดังนี้

-ผู้ใช้งานต้องขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนและอากาศยานกับ CAAT ให้ถูกต้องครบถ้วน
- ยื่นคำขออนุญาตและแจ้งรายละเอียดพื้นที่ วันเวลา และวัตถุประสงค์การบินล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ผ่านระบบ UAS Portal (uasportal.caat.or.th) และแจ้งต่อศูนย์บังคับและต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินฯ (ศบตอ.น.) อีเมล: antidrone.police@gmail.com
- สามารถบินได้ในเวลา 06.00–18.00 น. หากต้องการบินนอกช่วงเวลาดังกล่าว ต้องขออนุญาตจาก CAAT แต่ห้ามบินในช่วงเวลา 00.01–04.00 น. ทุกกรณี
- การปฏิบัติการบินที่แตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนด ต้องยื่นคำขออนุญาตเพิ่มเติมต่อ CAAT ผ่าน UAS Portal

สำหรับโดรนของราชการทหาร ตำรวจ ศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรฯ และสำนักข่าวกรองฯ สามารถปฏิบัติการได้ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เฉพาะโดรนของศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ หากมีการบินในพื้นที่ห้ามบิน ต้องแจ้งข้อมูลต่อ CAAT ล่วงหน้าและต่อ ศบตอ.น. รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ที่รับผิดชอบ

CAAT ระบุว่า การออกประกาศฉบับนี้เป็นไปตามข้อเสนอของหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อเสริมสร้างมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยของประเทศให้รัดกุมมากที่สุด ขณะเดียวกัน CAAT ตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้งานโดรนในหลากหลายด้าน จึงเร่งพัฒนาระบบ UAS Portal และปรับปรุงขั้นตอนการขออนุญาตให้สะดวก รวดเร็ว และสอดคล้องกับการใช้งานจริง เพื่อให้การใช้โดรนในประเทศไทยสามารถดำเนินไปอย่างสมดุล ทั้งในด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน