นายแพทย์หญิงลี แอนน์ เลือง จากแผนกโรคไต โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติ (NUH) ในสิงคโปร์ ชี้ชัดว่า การดื่มชาไข่มุกเป็นประจำ จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดภาวะโรคอ้วนและเบาหวาน ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่นำไปสู่โรคไตเรื้อรังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เม็ดไข่มุกมันสำปะหลัง แม้จะเป็นแป้งที่มีแคลอรีต่ำโดยธรรมชาติ แต่ในกระบวนการทำชาไข่มุก เม็ดเหล่านี้จะถูกนำไปแช่ในน้ำเชื่อมเข้มข้น และผสมกับชานมที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ทำให้มันกลายเป็นระเบิดน้ำตาลและแคลอรีที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
ยง ชิน นี นักโภชนาการอาวุโสของ NUH เสริมว่า การดื่มชาไข่มุกแทนน้ำเปล่า จะทำให้ร่างกายได้รับฟอสเฟตจากนม และ ออกซาเลต จากชาในปริมาณที่สูงเกินไป สารทั้งสองชนิดนี้เมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต ซึ่งเป็นภาวะที่เจ็บปวดและอันตรายถึงชีวิต
นอกจากนี้ ชาไข่มุกขนาดกลางเพียงแก้วเดียว อาจมีพลังงานสูงถึง 200-400 กิโลแคลอรี ซึ่งมากกว่าข้าวสวยหนึ่งถ้วย (ประมาณ 300 กิโลแคลอรี) และปริมาณน้ำตาลที่ได้รับ ก็เกินกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ต่อวัน (8-11 ช้อนชา) รวมถึงกาเฟอีนในปริมาณที่สูง ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำผู้ที่ชื่นชอบชาไข่มุก ลดการบริโภคเหลือเพียง 1 แก้วต่อสัปดาห์ และเลือกตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น ไม่ใส่ไข่มุก หรือลดปริมาณน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนและเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชนิดนี้โดยเด็ดขาด
ความสุขจากการจิบชาไข่มุกแก้วโปรดอาจคุ้มค่าเพียงชั่วครู่ แต่ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญในระยะยาวนั้น ร้ายแรงเกินกว่าจะมองข้าม การทำความเข้าใจและตระหนักถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเครื่องดื่มยอดฮิตนี้ จะช่วยให้เราสามารถบริโภคได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย โดยไม่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพไตที่ต้องสูญเสียไป