ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ทำการเปิดวอร์รูมเตือนภัย ภายหลังพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งในพื้นที่ โดยจากการตรวจสอบพบว่าใช้วิธีการ 2 รูปแบบการหลอกลวงที่มีความเสียหายสูงและเป็นระยะเวลานานกว่าเหยื่อจะรู้ตัว ดังนี้
1. ข่มขู่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สาย 1 โทรฯ เข้าหาเหยื่อแจ้งข้อมูลส่วนตัวเหยื่อและเริ่มหลอกว่าบัญชีหรือเบอร์โทรฯ เหยื่อถูกนำไปใช้ในการกระทำผิด เช่น ยาเสพติดหรือฟอกเงิน ส่งต่อสาย 2 แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เริ่มข่มขู่เหยื่อให้จดรายละเอียด นำเข้าสู่ line และมีการ video call แต่งกายเป็นตำรวจ บังคับให้เหยื่ออยู่คนเดียว อ้างจะมีการบันทึกการสอบสวน รายงานตัวตลอดวัน และเริ่มซักถามถึงทรัพย์สินที่เหยื่อมี บังคับให้โอนเข้าบัญชีม้าเพื่อตรวจสอบทรัพย์สินและจะคืนภายหลัง บังคับให้ขายหรือถอนทรัพย์สินส่งหรือโอนให้มิจฉาชีพ หากมีเจ้าหน้าที่หรือญาติสอบถาม มิจฉาชีพจะเตรียมคำตอบให้เหยื่อตอบ
เหยื่อของการหลอกลวงรูปแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุและเด็กเยาวชนที่ไม่สุงสิงกับผู้ใด อยู่คนเดียวหรือเป็นโสด ไม่ได้รับรู้ข่าวสาร ไม่ทราบและไม่มีภูมิคุ้มกันภัยมิจฉาชีพ บัญชีที่โอนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหยื่อบางรายถูกหลอกให้เป็นบัญชีม้าหรือทำธุรกรรมให้มิจฉาชีพด้วย
2. หลอกลงทุน
เพจปลอมโปรไฟล์นักลงทุน เซียนหุ้น ดึงเข้ากลุ่ม line นำเข้าสู่ Platform ปลอม ชื่อคล้องกับของจริง สะกดจิตโดยจิตวิทยาหมู่ในกลุ่ม line ปลอม ไม่เคยเจอโบรกเกอร์ ตัวแทนบริษัท โดยจะหลอกให้เริ่มลงทุนแต่น้อย ได้ผลกำไรโอนกลับมา เริ่มลงมากขึ้น ตัวเลขกราฟเติบโต ขอถอนเงิน มีค่าธรรมเนียมต้องจ่ายเพิ่ม เป็นระยะเวลานานกว่าจะรู้ตัว บัญชีที่โอนไปเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บางส่วนใช้บัญชีนิติบุคคลม้าเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอให้ประชาชนทุกคนระมัดระวังการรับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและพยายามข่มขู่ให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน โปรดจำไว้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีนโยบายให้ประชาชนโอนเงินเพื่อการตรวจสอบ หากสงสัยหรือเจอเหตุการณ์ดังกล่าว ให้วางสายทันทีและติดต่อหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างโดยตรงเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่าหลงเชื่อคำขู่หรือคำลวงจากคนที่ไม่เคยรู้จัก นอกจากนี้ ควรหมั่นเตือนภัยและให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุและบุคคลใกล้ชิดที่ไม่ค่อยได้รับข่าวสาร เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง