เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง รวมถึงสั่งดำเนินคดีอาญา พล.ท.โสภณ สิริงาม นายเรืองวิทย์ พายุหะมารวย นายเฉลิมศักดิ์ แสนปาง นายชัยชนะ เนาวงศ์ นายบรรลุ บุตรศาสตร์ นายเมธี บุญเจริญธนากุล นายสนอง กาสิงห์ ผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มที่ 1 บริหารราชการและความมั่นคง และ พ.อ.สมบูรณ์ชัยย์ อรัญพูล น.ส.ณัฏฐยา หรือณัฐณิชา รัตนะ บุคคลซึ่งไม่ใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สว.ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา62 มาตรา 77 (1) มาตรา 79 มาตรา 81 และรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 226
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวน พยานไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือก สว. ให้ถ้อยคำยืนยัน ว่า วันที่ 10 -14 มิถุนายน 2567 หลังจากตนเองโทรศัพท์ไปแนะนำตัวกับ พล.ท.โสภณ และนัดหมายรับประทานอาหาร เพื่อพูดคุยทำความรู้จักผู้มีสิทธิ์เลือก สว.ระดับจังหวัดที่ร้านอาหารสุขใจแลนด์ ริมถนนทางเลี่ยงเมืองระหว่างทางไปอำเภอเชียงขวัญ และอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยได้พบกับนายชัยชนะ นายสนอง และนายเฉลิมศักดิ์ ต่อมานายเรืองวิทย์ ได้ส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ชักชวนให้พยานไต่สวนประกอบคนที่ 2 อยู่ในทีมของ พล.ท.โสภณ โดยให้ลงคะแนนเลือก พล.ท.โสภณ 1 คะแนน และเลือกตัวเอง 1 คะแนน และจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 15,000 บาท พยานไต่สวนคนที่ 2 ตอบตกลง นัดหมายรับเงินที่ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนในปั๊มน้ำมัน ปตท. ถ.แจ้งสนิท อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
เมื่อไปถึงนายเฉลิมศักดิ์ และ พ.อ.สมบูรณ์ชัยย์ ซึ่งแสดงตนมาตลอดว่าเป็นตัวแทนของ พล.ท.โสภณ พูดถึงเรื่องการลงคะแนนเลือก พล.ท.โสภณ ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดร้อยเอ็ดกลุ่มที่ 1 พยานไต่ส่วนประกอบคนที่ 2 ตอบตกลง พล.ท.โสภณ จึงใช้โทรศัพท์มือถือโอนเงินมายังบัญชี พ.อ.สมบูรณ์ชัยย์ และ พ.อ.สมบูรณ์ชัยย์ จึงโอนเงินจำนวนดังกล่าวมาเข้าบัญชีของพยานไต่สวนประกอบคนที่ 2 ปรากฏหลักฐานการโอนเงินและรูปถ่ายการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์
นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานจากการตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมทางการเงินว่า พล.ท.โสภณ รู้เห็นสนับสนุนให้ พ.อ.สมบูรณ์ชัยย์ โอนเงิน 15,000 บาท ให้แก่นายเฉลิมศักดิ์ และรู้เห็นสนับสนุนให้ น.ส.ณัฏฐยา หรือ น.ส.ณัฐณิชา โอนเงิน 15,000 บาท ให้กับนายเรืองวิทย์ เพื่อจูงใจให้นายเฉลิมศักดิ์ และนายเรืองวิทย์ สมัครเข้ารับเลือกเป็น สว. หรือเพื่อจูงใจให้นายเฉลิมศักดิ์ และนายเรืองวิทย์ ลงคะแนนให้ พล.ท.โสภณ
และปรากฏหลักฐานเป็นภาพถ่ายการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ ข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และคลิปวิดีโอบันทึกการสนทนายืนยันข้อเท็จจริงจากการไต่สวนพยานไต่สวนประกอบคนที่ 2 ว่าก่อนวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ที่จะมีการเลือก สว.ระดับจังหวัดของจังหวัดร้อยเอ็ด นายชัยชนะ นายบรรลุ นายสนอง นายเมธี ได้กระทำการ สนับสนุนรู้เห็นเป็นใจให้นายชัยชนะ เสนอเงินหรือสัญญาว่าจะให้เงินตั้งแต่ 20,000 – 50,000 บาท แก่พยานไต่สวนคนที่ 2 เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกนายชัยชนะ และนายบรรลุ ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดของจังหวัดร้อยเอ็ด ในการลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน
รวมถึงยังปรากฏหลักฐานการจูงใจให้นายสนอง ลงคะแนนเลือกนายชัยชนะ ในการเลือก สว.ระดับจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มที่ 1 รอบการลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน โดยเป็นข้อความในแอปพลิเคชันไลน์ที่นายชัยชนะ ติดต่อให้พยานไต่สวนประกอบคนที่ 2 ช่วยจองห้องพักโรงแรมเดอะไรซ์ จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 2 ห้องเพื่อเข้าพักในวันที่ 15 มิถุนายน 2567 ในนามของนายชัยชนะ และนายสนอง ราคาห้องละ 750 บาท พร้อมหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีจำนวน 1,500 บาท
และในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดร้อยเอ็ด ยังปรากฏหลักฐานการโอนเงินที่ทำให้เชื่อว่า พล.ท.โสภณ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้น.ส.ณัฏฐยา หรือณัฐณิชา โอนเงิน 15,000 บาท ให้แก่นายเรืองวิทย์ เพื่อจูงใจให้นายเรืองวิทย์ ลงคะแนนเลือก พล.ท.โสภณ ในการเลือกสวระดับจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มที่ 1 รอบการลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน การกระทำของนายเรืองวิทย์ จึงเข้าข่ายเรียกรับเงินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเพื่อเลือกหรืองดเว้นไม่เลือกผู้ใด
จากกรณีทั้งหมด กกต. จึงเห็นว่าเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 77 (1) มาตรา 79 มาตรา 81 และเป็นการทุจริตในการเลือกมีผลทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมตามมาตรา 62 ของกฎหมายเดียวกัน จึงให้มีการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาและสั่งดำเนินคดีดังกล่าว