xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร”แนะจับตาศาล รธน.วินิจฉัย“อุ๊งอิ๊ง”29 ส.ค. เผยข่าวลือพรรคตรงข้าม รบ.ทุ่มเงิน 2 พันล้าน ล้มนายกฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ถึงข่าวปล่อย ข่าวลือที่หนาหูมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งศาล รธน.จะวินิจฉัยคดีคลิปเสียงของนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ในเวลาประมาณ 15.00 น.

โดยข่าวลือนักธุรกิจ-นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทุ่มเงิน 2 พันล้านบาทล้มนายกฯ อุ๊งอิ๊งนั้น สำนักข่าวเนชั่นและฐานเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกันนำมารายงานเมื่อ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา

“ข่าวลือไม่ว่าจะปล่อยออกมาอย่างไรก็ตาม แต่การใช้เงินถึง 2 พันล้านบาทที่ปล่อยออกมานั้น กลับโยงพันคอรัฐบาลกันเอง โดยสื่อบอกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทุ่มเงินล้มดีล ล้มนายกฯ เพื่อล้มรัฐบาล แต่นายสมคิด เชื้อคง (รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง) ปฏิเสธใช้เงิน 2 พันล้านซื้อ สส. โหวตหนุนนายกฯ ดังนั้น จะปล่อยข่าวก็ให้เนียนๆ กันหน่อย” นายจตุพร กล่าว

พร้อมทั้งกล่าวว่า เงินจำนวนมากตามข่าวลือนี้ ทางการเมืองถือว่าแค่ขี้เล็บที่สุดกับการได้ครอบครองอำนาจ แต่ปัญหาคือ สังคมไทยอยู่ท่ามกลางข่าวลือสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของแต่ละองค์กร และยังเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวตั้งแต่องค์กรพระสงฆ์ ดังนั้น ต้องเฝ้าจับตาดูข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่

อีกทั้งกล่าวว่า ถ้าประเทศนี้ซื้อได้ทุกอย่างแล้วคงไม่เหลืออะไร ความจริงการซื้อเสียง ซื้ออำนาจและเอาอำนาจไปหาประโยชน์ หาเงิน เพื่อเตรียมมาซื้อเสียงแล้วมาซื้ออำนาจอีก ดังนั้น ข่าวคราวการซื้อจึงเกี่ยวข้องกับเงิน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเงิน 2 พันล้านบาทจะนำไปซื้อฝั่งไหนก็ตาม เพียงแต่ว่าใครจะลงมือกันก่อน เมื่อข่าวนี้ออกจากสื่อเนชั่น จึงมองเห็นเจตนาปลายทางว่า พุ่งเป้าไปทางไหน อย่างไร ไม่ได้แปลกประหลาดเลย

"แต่การรอดหรือไม่รอดนั้น ขึ้นอยู่กับศาล รธน. และสื่อบางคนคุณไม่เห็นเหรอว่าประชาชนมีความรู้สึกอย่างไร คุณมีความสุขดีกันหรือ ถ้าต้องการเพียงสปอนเซอร์ คุณก็ต้องสบตาประชาชนให้ได้เช่นเดียวกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า เหลือเวลาอีกสองวันจะถึงวันที่ 29 ส.ค. ในแวดวงการพนันเล่นพนันเอานายกฯ อุ๊งอิ๊งจะรอดคดีในอัตราเดิมพัน 3 ต่อ 2 ดังนั้น จึงเฝ้าจับตาศาล รธน.จะวินิจฉัยอย่างไร แต่คนไทยมีหน้าที่ยอมรับคำวินิจฉัยนั้น ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่พร้อมสบตาได้ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน กับประชาชนที่พบเห็นก็กล้าสบตา

"ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือความซื่อสัตย์ในการทำหน้าที่และมีความรักชาติบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ด้วย ดังนั้น คนที่วินิจฉัยคนอื่นในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต มีมาตรฐานทางจริยธรรมเป็นที่ประจักษ์ ตัวเองต้องมีคุณสมบัติสองข้อนี้ก่อนเหมือนกัน”

อีกทั้งกล่าวว่า มาตรฐานทางจริยธรรม ย่อมบังคับทั้งนายกฯ องค์กรอิสระ รวมทั้งศาล รธน. ดังนั้น ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เชื่อว่าท้ายที่สุดสิ่งที่ดีงามก็รออยู่ข้างหน้า

"ไม่ว่าคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร เราก็ทำเป็นอื่นไม่ได้ ต้องน้อมรับ แต่อย่างที่บอกว่าคุณสมบัติเดียวกันนั้นกับนายกฯ คนที่วินิจฉัยย่อมต้องมีเฉกเช่นเดียวกัน อีกอย่างความลับไม่มีหรอก ว่าใครทำอะไรตรงไหนอย่างไร ดังนั้น เราต้องเชื่อในเกียรติ ถ้ากระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะสบตากับใคร สบตาตัวเองในกระจกยังไม่ได้เลย"

นายจตุพร กล่าวว่า ข่าวลือในขณะนี้มีเต็มกันไปหมด ประชาชนจึงควรทำใจให้ร่มๆ เมื่อมีคำวินิจฉัยแล้วจะสิ้นสงสัยและเป็นที่ยุติ หลังจากนั้นประชาชนจะเดินหน้า ทำหน้าที่ในสิ่งต้องพึ่งทำโดยยึดโยงกฏหมาย ผลประโยชน์ชาติโดยรวมว่า บ้านเมืองเราจะเดินไปอย่างไรในสถานการณ์ไทย-กัมพูชาต้องจบสิ้น ปัญหาชาติที่สะสมกันจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที

"ผมเรียนย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้กลัวเขารอดเลย ไม่ว่าข่าวสารใครจะปั่นอย่างไรก็ตาม ขอให้รอดเถอะ ส่วนไม่รอดก็มีคำตอบว่า แม้กฏหมายอนุญาติ แต่พรรคเพื่อไทยหมดความชอบธรรม"

พร้อมยกตัวอย่างความชอบธรรมว่า หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 พล.อ.อ.สมบูรณ์ ระหงษ์ ขณะเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย มีความชอบธรรมตามกฏหมายจะได้รับเลือกเป็นนายกฯ แต่คนไทยไม่สบายใจ ตำแหน่งนายกฯ จึงมาลงที่นายอานันท์ ปันยารชุน เพื่อยุบสภา แล้วคนไทยถอนหายใจโล่ง อกไปตามๆ กัน

ดังนั้น ทั้งข้อกฏหมายและความชอบธรรม รวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนต้องมาพร้อมกัน ไม่ใช่พวกมากลากไปจะได้เสมอ เพราะที่ล้มๆ กันก็พวกมาก เสียงข้างมากลากไปทั้งนั้น

นายจตุพร กล่าวว่า ในวันที่ 29 ส.ค.นั้น ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แล้วมีบางคนถามว่า ถ้าประชาชนมีความเย็นชา เพิกเฉยแล้วจะว่าอย่างไร ตนตอบว่า ก็ช่างหัวประชาชน ถ้ายอมรับในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเราไม่ว่าจะมีสักกี่คน ถ้าไม่ยอมรับก็คือไม่ยอมรับ

"ถ้าประชาชนทั้งบ้านเมืองเห็นเหมือนกันว่า จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ก็มาร่วมมือกันก็เท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่การสู้เพื่อตัวเอง สิ่งที่เราปรารถนาว่า ระหว่างไทย-กัมพูชา ทหารขาไม่ต้องขาดเป็นครั้งที่ 7-8-9”

กรณีล่าสุด ทหารไทยเหยียบทุ่นละเบิดเป็นครั้งที่ 6 รวม 6 ครั้งขาขาด 6 คน ว่า เราจะอยู่กับความรุนแรงชายแดนนี้อีกนานเท่าใด ทหารขาขาดแต่ละครั้งนั้นรัฐบาลจะคิดอย่างไร แต่เหมือนเข็มปักหัวใจคนไทยทุกครั้งคราว คนไทยจึงมีความเจ็บปวดรวดร้าว แต่รัฐบาลกลับกอด MOU ไว้แน่นขณะที่ไทยเสียดินแดนถึง 11 จุด ถ้าแม่ทัพภาค 2 ไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้

นอกจากนี้กล่าวถึงไทยรักษา MOU ซึ่งเป็นเรื่องประหลาด เพราะถูกละเมิดกว่า 659 ครั้งยังยึดมั่นรักษาไว้อีก ดังนั้น ถ้าไทยเป็นประเทศที่มีสติต้องไม่ยอมกอดกติกาบ้าบอเพื่อให้ถูกละเมิด แล้วอ้างเป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย ถ้ายกเลิกจะเข้าทางกัมพูชานั้น สบายกันดีหรือเปล่า บ้ากันหรือเปล่า

"บ้านเมืองต้องยึดผลประโยชน์โดยรวมไว้ การกอด MOU แล้วถูกละเมิดถึง 659 ครั้ง ก็เห็นแล้วว่ามันเสีย คุณบ้าหรือเปล่า ถ้าประเทศมีผู้นำมีจิตวิญญาณแล้ว การละเมิดครั้งแรกก็มีปัญหาแล้ว ครั้งสองก็มีเรื่องแล้ว ประเทศเฮงซวยที่มีผู้ปกครองบ้าๆ เรียงกันมานั้น ยอมให้เขาละเมิดกันถึงขนาดนี้ แล้วกอดความเสียหายไว้"

นายจตุพร กล่าวว่า MOU 43 เป็นความล้มเหลวสิ้นเชิง ส่วน MOU 44 รัฐบาลไม่ยึดตามแนวทาง ร.9 แต่ไปยึดแนวทางกัมพูชาที่ขีดเส้นอ้อมเกาะกูดเสียอย่างนั้น เพราะไทย-กัมพูชา จะแบ่งผลประโยชน์ 50 ต่อ 50 ระหว่างกัน

ประเทศไทยต้องมาก่อน