นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงข่าวกรณีเด็ก คนชรา และคนพิการ ในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่กลายเป็นด่านหน้า หลังกัมพูชาตั้งพื้นที่อาศัยรุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย
นายนิกรเดช กล่าวว่า กรณีที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่าฝ่ายไทยล้อมรั้วลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้กองทัพบกและกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงแล้ว จากการลงพื้นที่บ้านหนองจานเพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อเท็จจริงในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดี พบเห็นการแสดงความเห็นในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ประชาชนคนไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายต่างมองว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในอธิปไตยของไทย ที่เคยชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า พื้นที่บ้านหนองจานเดิมเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชา ที่หนีภัยการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป เป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2543 ซึ่งฝ่ายไทยได้คัดค้านและประท้วงการเข้าพื้นที่โดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีการตอบสนอง ซึ่งการป้องกันนั้น เพื่อคุ้มครองประชาชนและป้องกันการเข้ามาวางทุนระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่ขัดต่อข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (จีบีซี) สมัยวิสามัญที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงที่จะละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร รวมถึงการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งที่ล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน
นายนิกรเดช กล่าวว่า กรณีที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่าฝ่ายไทยล้อมรั้วลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้กองทัพบกและกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงแล้ว จากการลงพื้นที่บ้านหนองจานเพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อเท็จจริงในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดี พบเห็นการแสดงความเห็นในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ประชาชนคนไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายต่างมองว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในอธิปไตยของไทย ที่เคยชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า พื้นที่บ้านหนองจานเดิมเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชา ที่หนีภัยการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป เป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2543 ซึ่งฝ่ายไทยได้คัดค้านและประท้วงการเข้าพื้นที่โดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีการตอบสนอง ซึ่งการป้องกันนั้น เพื่อคุ้มครองประชาชนและป้องกันการเข้ามาวางทุนระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่ขัดต่อข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (จีบีซี) สมัยวิสามัญที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงที่จะละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร รวมถึงการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งที่ล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน