นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัด อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ปรากฎเหตุการณ์ที่สำคัญ กองทัพไทยยังคงตรึงกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 จุด พร้อมเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและป้องกันไม่ให้ใครล่วงล้ำ
ขณะที่ ศบ.ทก.ยังคงตรวจพบโดรน ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลขอย้ำว่า แม้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะออกประกาศผ่อนปรนอนุญาตให้สามารถทำการบินหรือปล่อยโดรนทุกประเภทได้ แต่ยังคงยกเว้นพื้นที่ตามประกาศฉบับที่ 4 ของ กพท. อาทิ จ.สระแก้ว ตราด บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ จันทบุรี สุรินทร์ และอุบลราชธานี ฯลฯ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
ช่วง 18 -20 สิงหาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกองบัญชาการกองทัพไทยได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการปฏิบัติตาม GBC เมื่อ 7 ส.ค. 68 คณะได้เข้าสังเกตการณ์ทั้งในพื้นที่พลเรือนที่ไทยได้รับความเสียหายจากการโจมตีจากกัมพูชา รวมถึงพื้นที่ที่กัมพูชาได้ลอบวางกับระเบิดในดินแดนของไทย ซึ่งเป็นการละเมิดมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ช่วยกันเปิดเผยความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้นำข้อมูลดังกล่าวแจ้งไปยังประเทศของตนต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงเดินหน้าแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์แก่ประชาคมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
โดยกระทรวงการต่างประเทศจะนำหลักฐานคลิปวิดีโอที่ตรวจพบในโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาที่ตกอยู่ในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ที่แสดงให้เห็นการถือและสาธิตวิธีใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงและอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงไปประกอบการชี้แจงฟ้องกัมพูชาในกรอบอนุสัญญาออตตาวา โดยในวันที่ 22 สิงหาคม นี้ จะมีการประชุม คณะกรรมการที่ดูแลเรื่องการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวาเป็นการเฉพาะ (Committee on Cooperative Compliance) ณ นครเจนีวา ซึ่งผู้แทนของไทยจะร่วมเสนอข้อเท็จจริงจากหลักฐานดังกล่าวด้วย