กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ตรวจสอบขบวนการเก็บค่าหัวคิวแรงงานกัมพูชาจำนวน 180,000 คน โดยพบว่ามีเส้นทางการเงินจากบัญชีม้าคนไทยและคนต่างด้าวเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา และพบความเกี่ยวข้องระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐของไทยและกัมพูชา ต่อมาพนักงานสืบสวนเรียกสอบปากคำพยานต่อเนื่อง คณะพนักงานสืบสวนที่ 27/2568 เตรียมนำสำนวนคดีสืบสวนเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันนี้ (15 ส.ค.) เพื่อให้มีการอภิปรายข้อเท็จจริง เหตุสมควรเสนอให้คณะกรรมการฯ มีมติ 2 ใน 3 หรือ 15 ราย จากกรรมการทั้งหมด 22 ราย รับเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) หรือการเป็นคดีความผิดทางอาญาอื่น ในฐานความผิดฉ้อโกง-อั้งยี่ เนื่องด้วยไม่ใช่ฐานความผิดตามบัญชีแนบท้ายกฎหมายดีเอสไอ จึงต้องเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด กคพ.
เนื่องจากคณะบุคคลมีพฤติการณ์หลอกลวงบรรดาบริษัทจัดหางาน ซึ่งดำเนินธุรกิจในฐานะนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ นายจ้าง/ผู้ได้รับอนุญาต (บนจ.) ว่าจะต้องมีการจ่ายเงินของแรงงานต่างด้าวกัมพูชารายละประมาณ 2,500-2,550 บาท จึงจะต่อใบอนุญาตแรงงานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อทำงานต่อภายในราชอาณาจักรไทยได้ หรือเรียกว่าเป็นการยื่นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว (Name List) บันทึกเข้าสู่ระบบกระทรวงแรงงาน เพื่อให้แรงงานเข้าถึงขั้นตอนอื่นถัดไปได้ เช่น การทำประกันสังคม การตรวจสุขภาพร่างกาย การทำหนังสืออนุมัติวีซ่าทํางาน (Calling Visa) เป็นต้น ทำให้เหล่านายจ้างต้องโอนเงินแทนค่าหัวคิวแรงงานกัมพูชาไปยังบัญชีธนาคารม้าปลายทางรวมเป็นเงินกว่า 450 ล้านบาท คณะพนักงานสืบสวนจึงสรุปเบื้องต้นว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง และอั้งยี่