ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวถึงกรณีที่สถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย ออกหนังสือขอข้อมูลจากวัดสุวรรณาราม โดยมีเนื้อหาขอข้อมูลส่วนบุคคลของพระ รวมถึงมูลนิธิและหน่วยงานอื่นๆ ภายในวัด ซึ่งในหนังสือดังกล่าว ระบุให้เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามจัดส่งข้อมูลพระสงฆ์ พร้อมภาพถ่าย เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ภายในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ว่า หนังสือดังกล่าว อ้างถึงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 222/2568 ซึ่งเป็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว คณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นนั้น ไม่ได้อนุมัติแบบฟอร์มให้มีการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่นที่ตำรวจร้องขอ อีกทั้งยังขัดกับมติมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ 620/2568 เรื่องแนวปฏิบัติสำหรับการบริหารศาสนสมบัติของวัด ที่ระบุชัดเจนว่า บัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการตรวจสอบได้เฉพาะในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม เท่านั้น
ทั้งนี้ การที่ตำรวจขอข้อมูลส่วนบุคคลของพระสงฆ์ เช่น เลขบัตรประชาชน ภาพถ่าย และเลขบัญชีธนาคาร ถือเป็นการละเมิดพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) โดยเฉพาะมาตรา 32 ที่ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และยังมีสิทธิในการถอนความยินยอมตามมาตรา 19 (วรรคห้า) หากเคยให้ข้อมูลไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้สร้างความกังวลให้กับพระสงฆ์จำนวนมาก เพราะข้อมูลที่ถูกร้องขอมีความละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรืออาจตกไปถึงมือมิจฉาชีพได้ หากไม่มีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนจากพระสงฆ์ในหลายพื้นที่ว่าการขอข้อมูลในลักษณะนี้สร้างความไม่สบายใจ และทำให้เกิดความระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ส่งผลให้มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก โดยบางส่วนถึงขั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนกิจกรรมของตำรวจในทุกกรณี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันของตำรวจในพื้นที่และการสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและสังคม จึงอยากขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เร่งประสานงานและสร้างความเข้าใจระหว่างพระสงฆ์กับตำรวจ เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และทำให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้างได้
ทั้งนี้ การที่ตำรวจขอข้อมูลส่วนบุคคลของพระสงฆ์ เช่น เลขบัตรประชาชน ภาพถ่าย และเลขบัญชีธนาคาร ถือเป็นการละเมิดพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) โดยเฉพาะมาตรา 32 ที่ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และยังมีสิทธิในการถอนความยินยอมตามมาตรา 19 (วรรคห้า) หากเคยให้ข้อมูลไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้สร้างความกังวลให้กับพระสงฆ์จำนวนมาก เพราะข้อมูลที่ถูกร้องขอมีความละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรืออาจตกไปถึงมือมิจฉาชีพได้ หากไม่มีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนจากพระสงฆ์ในหลายพื้นที่ว่าการขอข้อมูลในลักษณะนี้สร้างความไม่สบายใจ และทำให้เกิดความระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ส่งผลให้มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก โดยบางส่วนถึงขั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนกิจกรรมของตำรวจในทุกกรณี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันของตำรวจในพื้นที่และการสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและสังคม จึงอยากขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เร่งประสานงานและสร้างความเข้าใจระหว่างพระสงฆ์กับตำรวจ เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ และทำให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้างได้