พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเจรจา GBC ที่ผ่านมา ว่า มีความเป็นห่วงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจของประเทศกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา ว่าจะมีการหยุดยิงจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากัมพูชารับปากอะไรไปแล้ว บิดพลิ้วโดยตลอด และที่สำคัญ ข้อตกลง 2 ข้อ กัมพูชาไม่ยอมเอาลงในบันทึกการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือ ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ประเทศกัมพูชาได้นำไปวางไว้ในเขตพื้นที่ต่างๆ และการให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก็งคอลเซนเตอร์ ซึ่งทั้งสองข้อนี้มีผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า อยากให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนจับตามองรัฐบาลในการเจรจาต่อไป และให้กำลังใจทหารขอให้ยืนยันการใช้มาตราส่วน 1: 50,000 ซึ่งเป็นสากล และใช้ในทุกประเทศในปัจจุบันนี้ มากกว่า 1:200,000 ตามแนวทางที่ประเทศกัมพูชาต้องการ หากมีการยินยอมให้ใช้ มาตราส่วน 1:200,000 ประเทศไทยอาจจะเสียพื้นที่แผ่นดินไทยเหมือนกับที่เคยเสียดินแดนใกล้กับพระวิหาร เมื่อปีพ.ศ. 2556
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ในส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิตและการได้รับบาดเจ็บของทหารและประชาชนในการสู้รบครั้งนี้ ความเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ทางตระกูลฮุน และตระกูลชิน จะมีส่วนในการรับผิดชอบอย่างไร
การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวแก้ตัวว่า การเจรจาส่วนตัวระหว่างลุงกับหลาน ตัวเองไม่ได้อะไร และประเทศชาติก็ไม่เสียหายอะไร ตอนนี้นายกรัฐมนตรีคงตระหนักดีแล้วว่า ประเทศชาติเสียหายอะไรบ้าง ทหาร และประชาชนเสียชีวิตไปจำนวนเท่าไร เกิดความเสียหายในภาพรวมของประเทศอย่างไร ซึ่งกรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญสามารถนำผลจากการเจรจาของ น.ส.แพทองธารกับนายฮุน เซน ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ไปเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้อย่างชัดเจน
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลต้องเป็นแกนกลาง ในการดำเนินคดีกับนายฮุน เซน ในคดีอาญาของไทย และอาชญากรสงคราม พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จากนายฮุน เซน และ ประเทศกัมพูชาโดยเร็ว นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมในการรองรับปัญหาแรงงานชั้นต่ำ เพื่อทดแทนแรงงานจากประเทศกัมพูชา โดยใช้แรงงานทดแทนจากเมียนม่า บังคลาเทศ หรือประเทศอื่นๆ มาทดแทน เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีผลกระทบ ซึ่งในขณะนี้ทางกระทรวงแรงงาน ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรมเลย