นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ความรุนแรงที่ชายแดนขาดเม็ดลงบ้างแล้ว จึงขอเล่าความคืบหน้าของคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.เสริมสร้างสังคมสันติสุข(บางคนเรียกกฎหมายนิรโทษกรรม) ให้ฟังพอเห็นภาพนะครับ
ผมติดตามการทำงานเรื่องนิรโทษกรรมมาตลอด เคยไปให้ความเห็นตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้ที่สภา ตระเวนคุยกับคนหลายกลุ่ม ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายต่างๆ แกนนำมวลชนทั้งที่เห็นตรงกันและกลุ่มที่เห็นต่าง ผู้รู้ด้านกฎหมาย ผู้รู้ด้านกระบวนการยุติธรรม บางคนในกลุ่มภาคประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย บางส่วนในกลุ่มนักต่อสู้หนุ่มสาว
สิ่งที่ได้ยินแตกต่างกัน บางกลุ่มเห็นว่านิรโทษได้แต่ต้องเว้นบางคดี บางกลุ่มบอกว่าคดีถึงแก่ชีวิตกับทุจริตต้องเว้น แต่คดีอื่นควรรวมไปด้วย จะมีเงื่อนไขอย่างไรก็คุยกัน ส่วนตัวผมเห็นไปในแนวทางนี้ตามที่เคยพูดไว้หลายที่ แต่ประเมินว่าน้ำหนักเสียงในสภาจะออกไปทางแรก จึงถามน้องๆที่คุยด้วยว่าคิดยังไง
บางคนบอกความเห็นส่วนตัวว่าถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ยกเลิกเสียทั้งหมด แต่เจ้าตัวเล่าว่าไปถามคนในคุกคำตอบที่ได้คือ ถ้าถึงที่สุดก็เอาให้ครอบคลุมมากเท่าที่จะมากได้ก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน ถามอีกคนก็ยืนยันว่าเขาอยากช่วยเพื่อนแต่คุยกันแล้วสุดแค่ไหนก็ตามนั้น ผมตรวจสอบข้อมูลประเภทคดีและจำนวนคนโดยประมาณที่ถูกดำเนินคดีอีกรอบ จึงตัดสินใจเข้าเป็นกรรมาธิการ
น้องบางคนที่รักกันรู้เข้าก็บอกว่า เรื่องยากมากพี่ หาเรื่องรับทัวร์อีกแล้ว
สภาโหวตรับหลักการวาระแรกไม่กี่วันผมไปพบผู้ต้องขังคดีเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เรือนจำ บอกพวกเขาว่าสภารับร่างมาแบบนี้ แต่พี่มาเป็นกรรมาธิการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นกันยาว ผมเข้าใจพวกเขาและแน่ใจว่าเขาก็เข้าใจผม
หลังจากนั้นผมส่งทั้ง 3 ร่างที่ผ่านสภาไปให้ผู้ใหญ่หลายๆท่านดู และยังต้องทำงานอีกมากนอกห้องประชุมกรรมาธิการคู่ไปกับการทำให้ร่างนี้กลับสู่สภาในวาระ 2 ให้ดีที่สุด ครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ประกอบด้วยกรรมาธิการทั้งหมด 32 คน ประชุมทุกบ่ายวันพฤหัสผ่านไปแล้ว 2 ครั้ง
ประชุมนัดแรกเมื่อ 24 กรกฎาคม ที่ประชุมเลือกผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการ
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ รังสิมันต์ โรม วิชัย สุดสวาสดิ์ ซาการียา สะอิ และเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ เป็นรองประธาน
ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ เป็นเลขานุการ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ และ จักรพงษ์ บัวขันธ์ เป็นผู้ช่วย
โฆษกคณะกรรมาธิการมี 3 คน คือ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ พนิดา มงคลสวัสดิ์ และ เอกชัย ไชยนุวัติ
ผมเชิญ ศ.ดร.วุฒิสาร ตันไชย อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความ และยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากไอลอว์ มาเป็นที่ปรึกษาเพื่อร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน
การประชุมครั้งที่ 2 เป็นการกำหนดกรอบและแนวทางของตัวกฎหมาย ที่ประชุมอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และมีมติด้วยเสียงข้างมากให้กำหนดบัญชีแนบท้ายระบุฐานความผิดไว้ โดยร่างหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติมี 12 ฐานความผิดซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่ามีคดีตกหล่นจำนวนมาก จึงตั้งต้นไว้ที่รายงานของคณะกรรมาธิการศึกษาชุดก่อนหน้านี้ที่ระบุไว้ 25 ฐานความผิดโดยเชื่อว่าน่าจะครบถ้วน ทั้งนี้ยังสามารถเพิ่มเติมได้หากได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมในขั้นลงรายละเอียด
กำหนดกรอบเวลาที่จะให้มีการนิรโทษกรรมคือ ตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่กฎหมายประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษา
ประเด็นที่หยิบยกมาพิจารณากันต่อคือ โครงสร้าง ที่มา และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งจะมาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายฉบับนี้ แต่เรื่องนี้มีรายละเอียดหลายแง่มุม คงต้องพิจารณากันยาว จึงยกยอดไว้ในการประชุมครั้งถัดไป
ผมตั้งใจจะทำงานให้จบภายใน 2 เดือนบวกลบ ทั้งงานในห้องประชุมและภายนอก หวังว่ากฎหมายนี้จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างเสริมสันติสุขในสังคมไทย แม้ว่าความแตกต่างทางความคิดจะยังมีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจนลึกซึ้งก็ตาม