วันนี้ (6 ส.ค.) ทั่วโลกต่างร่วมรำลึกครบรอบ 80 ปี ตั้งแต่สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่น US B-29 ไปทิ้งระเบิดปรมาณูโจมตีเมืองฮิโรชิมา ญี่ปุ่นในปี 2488 คร่าชีวิตผู้คนราว 140,000 ราย ตามด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณูโจมตีเมืองนางาซากิในอีก 3 วันต่อมา มีผู้เสียชีวิตอีก 80,000 ราย ทำให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
นายคาซูมิ มัตซุย นายกเทศมนตรีเมืองฮิโรชิมา ได้จัดพิธีรำลึกที่สวนอนุสรณ์สันติภาพในย่านใจกลางเมือง โดยมีนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น พร้อมคณะทูตต่างชาติกว่า 120 ประเทศ พร้อมตัวแทนญาติของผู้เสียชีวิต ผู้รอดชีวิตและประชาชนทั่วไปรวม 55,000 คนร่วมงาน โดยพิธีเริ่มด้วยการยืนสงบนิ่งไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในช่วงที่เกิดเหตุโจมตีเมืองฮิโรชิมาคือ เวลา 08.15 น. ของวันนี้
นายอิชิบะ ปราศรัยต่อประชาชนในโอกาสนี้ว่า ภารกิจของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่เคยประสบภัยพิบัติจากสงครามที่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ คือ รณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาคมทั่วโลกร่วมผลักดันให้โลกของเราปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบันที่ชาติมหาอำนาจของโลก มีความเห็นที่ไม่ลงรอยในเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงของโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่เปราะบางสูงมาก
ด้านสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI)ของสวีเดนระบุในเดือนมิถุนายน ว่า ในปัจจุบัน หัวรบนิวเคลียร์กว่า 12,000 ลูก อยู่ในการครอบครองของ 9 มหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อินเดีย ปากีสถาน เกาหลีเหนือ และอิสราเอล นอกจากนี้ ทั้ง 9 ประเทศยังปรับปรุงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้ทันสมัยมากขึ้นในปีที่แล้ว รวมทั้งปรับปรุงอาวุธรุ่นที่มีอยู่และและนำอาวุธรุ่นใหม่มาประจำการในกองทัพ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และรัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ของหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลก ขณะเดียวกัน จีนได้เพิ่มหัวรบนิวเคลียร์เฉลี่ยปีละ 100 ลูก นับตั้งแต่ปี 2566