นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า การประชุมในวันนี้เป็นการพบกับสภาหอการค้าฯ เป็นครั้งแรกหลังจากที่ตนเองได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งตนเองอยากพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ให้ครบ
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับข้อกังวลของหอการค้าฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต้องหารือรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรของไทย กระทรวงพาณิชย์จึงต้องดำเนินการที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ผลผลิตของเกษตรกรสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทภาพ
สำหรับประเด็นเรื่องการยกเว้นภาษีสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์จะทำงานร่วมกับหอการค้าในการสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนที่เพียงพอ ขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิตในภาคเกษตร เช่น ตั้งเป้าลดราคาปุ๋ย พร้อมทั้งส่งเสริมโครงการสินค้าธงเขียวสำหรับสินค้าเกษตร และพัฒนาแอปพลิเคชันธงฟ้า เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป
และหลังจากที่หารือในวันนี้ จะมีการทำงานร่วมกันระหว่างหอการค้าไทยกับกระทรวงพาณิชย์อย่างเข้มข้น อะไรที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ก็จะเริ่มดำเนินการเลยและมีกรอบระยะเวลาในการทำงานที่ชัดเจน ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นก็จะมีการเชิญมาพูดคุยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศกรอบอัตราภาษีนำเข้ากับไทยที่ 19% กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มดำเนินการร่วมกับหอการค้าอย่างไรบ้างนั้น นายจตุพร ระบุว่า นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานหอการค้า เป็นหนึ่งในทีมเจรจาและให้ข้อมูลต่างๆ มาโดยตลอด เพราะฉะนั้น นายพจน์ จะทราบการเคลื่อนไหวตลอดเวลา วันนี้หลังจากมีการประกาศกรอบอัตราภาษีที่ 19% ก็มีรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องมาพิจารณามากกว่านั้น ซึ่งการทำงานร่วมกับนายพจน์ ก็ทำให้มีกลไกในการสร้างการรับรู้ลงลึกไปถึงในภาคผู้ปฏิบัติได้มากขึ้น และเป็นเรื่องต้องทำงานร่วมกับหอการค้าควบคู่ไป
ด้านนายพจน์ กล่าวว่า ถึงแม้กรอบอัตราภาษีของไทยจะออกมาอยู่ที่ 19% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจบเลย ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับมวยเปรียบเสมือนกับยกที่หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นยังต้องมีรายละเอียดอีกหลายเรื่องและจะต้องมาหารือเรื่องรายละเอียดร่วมกันในภาครัฐและเอกชน ซึ่งสภาหอการค้าถือว่าเป็นตัวแทนของภาคเอกชนที่ดูแลนักธุรกิจและผู้ประกอบการทั้งหมด โดยหลังจากนี้ต้องมาดูว่าจะทำงานร่วมกันอย่างไรต่อไป
นายพจน์ ระบุว่า ประเทศไทยต้องแข็งแรงมากกว่านี้ เพราะวันนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก การค้าได้เปลี่ยนแปลงไป ไทยต้องรับมือให้ทัน และต้องเปิดกว้าง ซึ่งก็จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์โดยตรง และหอการค้าต้องทำงานร่วมกัน เช่น เร่งทำการค้าเสรี หรือ FTA กับสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม กระบวนการทำงานในประเทศจะทำให้คล่องได้อย่างไร จะลดอุปสรรคที่ขัดขวางได้อย่างไร ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งที่เราต้องหารือร่วมกันด้วย โดยทางสภาหอการค้าจะต้องเตรียมแผนงานทั้งหมดและส่งต่อไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อที่จะนำมาทำแผนในระยะต่อไป
นายพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรอบอัตราภาษีที่ 19% ไม่มีคำว่าพอใจหรือไม่พอ แต่เรื่องที่ควรให้ความสำคัญคือไทยอย่าเสียเปรียบคู่แข่ง อย่าเสียเปรียบประเทศอื่นในภูมิภาค เพราะถือว่าทุกประเทศได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างทั่วถึง
ส่วนมาตรการดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พูดคุยร่วมกันตลอด และสั่งการให้ภาคเอกชนเตรียมตัว ซึ่งทางภาคเอกชนก็ต้องรอดูก่อนว่าหลังจากที่ภาษีออกมาชัดเจนแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร โดยต้องประเมินสถานการณ์เบื้องต้นหลังจากนี้ก่อน แต่จะต้องเน้นที่โอกาสของการลดต้นทุน หาโอกาสให้ผู้ประกอบการเพื่อให้สู้ต่อไปได้เป็นหลัก รวมไปถึงการหาตลาดใหม่ อย่างเช่นการทำ FTA ในตลาดที่ต้องเร่งทำ เพื่อให้ไทยมีโอกาสในการแข่งขันในตลาดอื่นด้วย ดังนั้น จะต้องมองเป้าหมายการค้าให้กว้างทั้งระบบ คือสิ่งที่ควรจะจะต้องเร่งทำ