นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ภัย ผลกระทบ และการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย กรณีสาธารณภัยอันเป็นผลสืบเนื่องจากภัยความมั่นคง เน้นย้ำ 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยให้ครบทุกด้าน โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหาย และเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็วเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย พร้อมกำชับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลำเลียงและนำส่งสิ่งของบริจาคให้กับประชาชนและหน่วยทหารในพื้นที่ โดยมีหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตที่รับผิดชอบพื้นที่เสี่ยงภัย และผู้บริหารกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ อาคาร 3 ชั้น 5 ปภ. และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
นายสหรัฐ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่และความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจากการติดตามสถานการณ์พบว่าตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 68 ที่เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 38 เวลา 18.00 น.) มีจังหวัดได้รับผลกระทบจำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,085 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 238,506 ครัวเรือน 839,935 คน และมีพลเรือนเสียชีวิต 17 ราย ได้รับบาดเจ็บ 38 รายปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 759 แห่ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว มีผู้อพยพรวม 174,090 คน
“จากการประชุมติดตามสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกับ 7 จังหวัด ชายแดนไทย – กัมพูชา พบว่าจังหวัดได้ดูแลประชาชนที่อพยพมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างเต็มที่ และได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน มีการบริหารจัดการภายในศูนย์พักพิงตามระบบ รวมถึงมีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน และจัดจิตอาสาช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดสถานการณ์ขึ้น รวมถึงจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดให้ผู้พักพิงที่ต้องอยู่อาศัยในระยะเวลานาน ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้กำชับให้จังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและประสานการปฏิบัติกับทุกภาคส่วนเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมถึงเร่งบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหาย
ในด้านต่าง ๆ และจัดประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) โดยไม่ต้องรอให้สำรวจความเสียหายเสร็จสิ้นทุกด้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว” นายสหรัฐ รองอธิบดี ปภ. กล่าว
นายสหรัฐ กล่าวเพิ่มว่า ขอให้จังหวัดให้ความสำคัญกับการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในศูนย์พักพิงและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยขอให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประสานการปฏิบัติกับศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ในการลำเลียงและนำส่งสิ่งของบริจาคจากประชาชน หน่วยงาน และมูลนิธิต่าง ๆ ไปยังพื้นที่ประสบภัยเพื่อมอบให้กับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารที่จำเป็น ทั้งในส่วนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ มาตรการหรือแนวทางในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตน เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องและลดความวิตกกังวลจากสถานการณ์ภัยที่เกิดขึ้น
สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยด้านต่าง ๆ รวมกว่า 1,079,248 หน่วย แบ่งเป็น อาหารกล่อง 424,715 กล่อง น้ำดื่ม 585,913 ขวด ถุงยังชีพ 4,930 ถุง และสิ่งของสำรองจ่ายและสิ่งจำเป็น อาทิ มุ่งเต็นท์กันยุงแบบพับ ผ่าห่ม เสื้อผ้า จำนวนรวม 62,690 ชิ้น และสนับสนุนเครื่องจักรกลสาธารณภัย ไม่ว่าจะเป็น รถเครื่องกำเนิดไฟฟ้า รถไฟฟ้าส่องสว่าง รถบรรทุกน้ำ/น้ำมัน รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถบรรทุก รถผลิตน้ำดื่ม รถประกอบอาหารพร้อมอุปกรณ์ รถกู้ภัย และรถตรวจการณ์ รวม 108 คัน จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 3 ปราจีนบุรี เขต 5 นครราชสีมา เขต 6 ขอนแก่น เขต 7 สกลนคร เขต 13 อุบลราชธานี และเขต 17 จันทบุรี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติตตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนความช่วยเหลือทุกด้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย