xs
xsm
sm
md
lg

ปภ.ติดตามสถานการณ์อุทกภัย เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทุกด้าน สำหรับจังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้เร่งพื้นฟูพื้นที่ประสบภัยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว รวมถึงเฝ้าระวังและเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงอย่างใกล้ชิด เร่งสำรวจ ตรวจสอบ และซ่อมแซม พนังกั้นน้ำ คันกั้นน้ำ และประตูระบายน้ำ ให้อยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ลุ่มต่ำ พร้อมเตรียมแผนสำรองกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน โดยมี นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ สุโขทัย บึงกาฬ และหนองคาย รวมถึงนายอำเภอในพื้นที่ประสบภัย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วมประชุม และประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

นายชัยรัตน์ เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่ส่งผลให้ห้วงวันที่ 21 ก.ค. 68 – ปัจจุบัน (วันที่ 30 ก.ค. 68) เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 11 จังหวัด (น่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย ตาก อุตรดิตถ์ และเลย) รวม 70 อำเภอ 326 ตำบล 1,877 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 63,411 ครัวเรือน 198,837 คน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย (จังหวัดน่าน 3 ราย และจังหวัดแพร่ 1 ราย) ปัจจุบัน (30 ก.ค. 68 เวลา 06.00 น.) ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ สุโขทัย และตาก รวม 34 อำเภอ 152 ตำบล 792 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 42,203 ครัวเรือน 123,504 คน โดยสถานการณ์ระดับน้ำในภาพรวมลดลง มีเพียงจังหวัดสุโขทัยที่มีระดับน้ำทรงตัว

นายชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าหลายพื้นที่สถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่การดำเนินการให้ความช่วยเหลือในทุกจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้านการดำรงชีพ การแพทย์และสาธารณสุข การเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ ดูแลระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน โรงครัวประกอบเลี้ยง และการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคม ซึ่งปัจจุบัน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าช่วยเหลือพื้นที่ 5 จังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ประกอบด้วย รถบรรทุกติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล รถปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัย รถประกอบอาหาร รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สำหรับจังหวัดที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว เข้าสู่ระยะการพื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม ให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรกลเข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือนที่พักอาศัย สิ่งสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งสำรวจความเสียหาย จัดทำบัญชีความเสียหายทุกด้านเพื่อให้ความช่วยเหลือตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประสานการปฏิบัติและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ และเร่งช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

“ปภ. ยังได้มีการเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่ภาคเหนือและลุ่มแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวานนี้ (29 ก.ค. 68) ปภ. ได้ส่งแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast ไปยัง 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬและหนองคาย เฝ้าระวังน้ำโขงล้นตลิ่ง ให้เตรียมพร้อมรับมือและอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่มีสถานการณ์ภัยในพื้นที่เข้าไปเตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่ท้ายน้ำ และพื้นที่ติดกับลุ่มน้ำโขง ซึ่งปัจจุบันมีรายงานระดับน้ำโขงมีระดับสูงขึ้นคาดว่าจะเริ่มล้นตลิ่งในช่วง 1 – 2 วันนี้ จึงขอฝากให้จังหวัดที่อยู่ในเส้นทางไหลของน้ำ ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ประชาสัมพันธ์แจ้งข้อมูลข่าวสารให้พี่น้องประชาชนเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงเร่งสำรวจตรวจสอบพนังกั้นน้ำ คันกั้นน้ำ และประตูระบายน้ำ ให้อยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง หากพบว่า มีการชำรุดให้ดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขโดยด่วน และจัดทำแนวป้องกันพื้นที่ที่ไม่มีแนวคันกั้นน้ำ (พื้นที่ฟันหลอ) เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ลุ่มต่ำ อีกทั้งให้เตรียมแผนสำรองในกรณีที่พนังกั้นน้ำถูกน้ำกัดเซาะชำรุดเสียหาย เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้ หากจังหวัดใดประเมินสถานการณ์ในพื้นที่แล้ว พบว่า มีความเสี่ยงภัยที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ให้ประสานมายังศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งข้อความแจ้งเตือน Cell Broadcast ไปยังประชาชนในพื้นที่ รับทราบและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยได้อย่างทันท่วงที” นายชัยรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามพยากรณ์อากาศ ข้อมูลข่าวสาร และการแจ้งเตือนภัยจากทางราชการอย่างใกล้ชิด หากมีประกาศหรือคำเตือนขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นหรือได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทาง Line Official Account “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป