วันนี้ (29 ก.ค.) เวลา 08.00 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” กำชับจังหวัดบูรณาการการทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังโดยยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในระยะถัดไปล่วงหน้า เน้นป้องกันพื้นที่พิเศษอย่างโรงพยาบาล พื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจไม่ให้ได้รับผลกระทบ สำหรับพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายให้เร่งทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสำรวจความเสียหายเพื่อวางแผนฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยมีนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ รวมถึงนายอำเภอในพื้นที่ประสบภัย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม War room ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
นางสาวธีรรัตน์ เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชนจึงได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานความคืบหน้าของการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ทราบสถานการณ์ในพื้นที่และสั่งการให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและตรงจุด โดยจากการติดตามสถานการณ์และการลงพื้นที่ จ.น่าน ด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 26 - 27 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ได้เห็นว่าจังหวัดเร่งแก้ไขปัญหาและดูแลประชาชนผู้ประสบภัยในทุกมิติอย่างเต็มกำลัง สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ค. 68 เวลา 06.00 น.) สถานการณ์ในหลายพื้นที่ได้คลี่คลายลงแล้ว เหลือเพียง 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ และสุโขทัย ที่ยังคงมีสถานการณ์อยู่ ซึ่งโดยภาพรวมระดับน้ำลดลงในทุกพื้นที่ ยกเว้น จ.สุโขทัย ที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น
“เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วและได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด ขอให้จังหวัดเดินหน้าปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเน้นการบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยทหาร ฝ่ายปกครอง ตำรวจ มูลนิธิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนอาสาสมัครและภาคประชาชนในการช่วยเหลือประชาชน จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว โรงครัวพระราชทาน โรงครัวประกอบเลี้ยง จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่อยู่ในศูนย์พักพิงฯ ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับพื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้จังหวัดระดมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าทำการฉีดล้าง ทำความสะอาด และซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนและพื้นที่สาธารณะที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อวางแผนการฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว” นางสาวธีรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าว
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวเพิ่มว่า แม้สถานการณ์พายุ “วิภา” มีแนวโน้มดีขึ้น ระดับน้ำลดลงแล้วในหลายพื้นที่ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีร่องมรสุมพัดผ่านภาคเหนือซึ่งส่งผลให้มีฝนตกเพิ่มในพื้นที่และในบางพื้นที่มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นขอให้จังหวัดติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่จังหวัดมี โดยหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง ต้องการแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึงให้ประสานมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อส่งการแจ้งเตือนด้วย Cell Broadcast ให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้ประชนได้รับทราบสถานการณ์และปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ขอให้จังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า เตรียมการยกของขึ้นที่สูง อพยพกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงชั่วคราว รวมทั้งดำเนินการป้องกันพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ อาทิ โรงพยาบาล พื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจฯ พร้อมกันนี้ ให้เร่งเสริมความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำและแนวคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ตลอดจนปรับการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนให้พร้อมรองรับสถานการณ์น้ำในกรณีที่เกิดฝนตกหนักในห้วงถัดไป
ด้านนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่พายุโซนร้อน “วิภา” เคลื่อนตัวตามแนวร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศลาวตอนบนและภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้ระหว่างวันที่ 21 ก.ค. 68 – ปัจจุบัน (วันที่ 29 ก.ค. 68) เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 11 จังหวัด (น่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย ตาก อุตรดิตถ์ และเลย) 67 อำเภอ 303 ตำบล 1,610 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 43,080 ครัวเรือน 145,532 คน มีผู้สูญหาย 1 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ค. 68 เวลา 06.00 น.) ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ และสุโขทัย กินพื้นที่ 31 อำเภอ 140 ตำบล 638 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 31,599 ครัวเรือน 106,189 คน ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 เข้าประจำการ ณ จังหวัดน่าน เพื่อรองรับการปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่เข้าถึงยาก สนับสนุนเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ไม่ว่าจะเป็น รถบรรทุกติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล รถปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัย รถประกอบอาหาร รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 9 พิษณุโลก และศูนย์ป้องกันสาธารณภัยเขตใกล้เคียง เข้าปฏิบัติการในจังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์ มอบถุงยังชีพ ปภ. รวมกว่า 18,900 ชุด และส่งมอบถุงยังชีพที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น รวมจำนวน 3,500 ชุด ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะยังคงติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนภัยประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัย พื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM และ X @DDPMNews รวมถึงรับการแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์แบบลงลึกในระดับพื้นที่ได้ทางแอปพลิเคชัน Thai Disaster Alert (TDA) ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทาง Line Official Account “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อนผ่าน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานการให้ความช่วยเหลือต่อไป