xs
xsm
sm
md
lg

"จตุพร"หวั่น รบ.สับขาหลอกรอ ปชช.เผลอดัน กม.บ่อนกาสิโนกลับเข้าสภาฯ อีกครั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยเตือนว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะถอนร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือบ่อนกาสิโนออกจากการพิจารณาของสภานั้น ระวังจะเป็นการสับขาหลอก รอประชาชนทีเผลอจึงดันกลับเข้าสภาอีกครั้ง

อีกทั้งตำหนิรัฐบาลว่า เวลาอยากได้ก็อวดอ้างยิ่งใหญ่ถึงขั้นนำไปเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจสู้กับภาษีทรัมป์เรียกเก็บจากไทย 36% แต่เมื่อถึงเวลาถอยเพื่อถอนกฎหมายบ่อนกาสิโนยังมาอธิบายประชาชนไม่เข้าใจ ประเทศเสียโอกาส ดังนั้น พรรคเพื่อไทยถ้าแน่จริงอย่าถอย ใครไปบังคับ เพราะคำอธิบายอย่างไง รัฐบาลก็ไม่ฟังเสียงประชาชนอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การประชุม ครม.เมื่อ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา มีมติให้ถอนร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนออกจากการพิจารณาของสภา แต่ต้องได้รับมติจากสภาในวันที่ 9 ก.ค.เสียก่อนว่าให้ถอนได้หรือไม่ ดังนั้น ที่ประชุมสภาต้องธิบายซักถามเหตุผล ทั้งๆที่รัฐบาลเคยคุยโวความจำเป็นต้องเลื่อนมาเป็นวาระที่ 1 ให้สภาพิจารณา

"เวลาถอย (ร่างกฎหมายบ่อนฯ) ยังน่าอับอาย โกหกรักษาฟอร์มไปอีก จนคนไม่ไว้วางใจว่า จะซุ่มรอจังหวะอีกเมื่อไร เพราะการติดตามคนไม่มีสัจจะถึงอธิบายอย่างไรก็ไม่น่าฟัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไปไม่ได้ โม้ไว้เยอะ ขี้คุยแอบอ้างสารพัด และต้องถอนร่างกฎหมายการท่าเรือแห่งประเทศไทยออกจากสภาเสียด้วย"

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีกฎหมายบ่อนกาสิโน ซึ่งคิดทำร้ายประเทศและประชาชนนั้น ต้องถูกขัดขวาง และถ้าพรรคเพื่อไทยแน่จริงควรเสนอเป็นนโยบายไปหาเสียงกับประชาชนด้วย จะได้ระดมการต่อต้านเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ

ส่วนศาลฎีกานักการเมืองไต่สวนกรณีชั้น 14 แม้รายละเอียดการซักถามไม่ให้เสนอข่าวได้นั้น แต่การซักถามพยานฝ่ายราชทัณฑ์กลับให้การไม่ตรงกัน ย่อมไม่เป็นคุณด้านบวกกับทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคาดผลสรุปออกมาคงพูดได้เพียงใครบางคนอาจต้องหนาวเอามากๆ

สิ่งสำคัญกรณีเจรจาภาษีทรัมป์ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้ก่อนเจรจาได้อวดอ้างความสนิทสนมกับประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ลดหย่อนกำแพงภาษี 36% เลย ดังนั้น เวลาที่เหลือจะเจรจาให้ลดลงเหลือแค่ 30% ก็ปางตายกันแล้ว

อย่างไรกก็ตาม เมื่อการเมืองเสียไปแล้ว ต้องสูญเสียทุกอย่างและไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ซึ่งรัฐบาลยังไม่รู้ตัวกันอีก ถ้าถามว่า ทำไมประเทศส่วนใหญ่ไปเจรจาภาษีทรัมป์จบลงได้ แต่ไทยกลับไม่มีผลสรุปการเจรจา แล้วยังถูกสหรัฐยืนยันการเก็บภาษี 36% ไว้คงเดิมอีก จนซ้ำเติมให้เศรษฐกิจที่อยู่ท่ามกลางความยากลำบากยิ่งทรุดฮวบลงไปอีก

อีกทั้งกล่าวว่า ไทยเจรจาภาษีทรัมป์นั้น ไม่ได้ขึ้นกับเวลาว่า ไปเจรจาเร็วหรือช้า แต่ขึ้นอยู่กับผลความสำเร็จคืออะไร ยิ่งไปเจรจาช้าแล้วยังไม่ได้อะไรสักอย่าง ถึงรีบไปคุยเร็วสหรัฐก็ไม่รับนัดให้ไปเจรจา ดังนั้น ปัญหาจึงอยู่กับท่าทีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นสิ่งกีดขวางความสำร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า รัฐบาลไทยโม้อวดอ้วงตัวเองไว้เกินไป แล้วยังทำไม่สำเร็จจึงอับอายขายหน้า ที่สำคัญทำให้ประชาชนเดือดร้อน แล้วทำให้ประเทศที่อยู่แถวหน้าต้องหล่นมาอยู่ล้าหลังประเทศอื่นจนได้

"คำตอบการตกต่ำล้าหลังคือ เป็นเพราะการเมืองการปกครอง แม้มาจากคนถือปืนไปเป็นรัฐบาล หรือถือเงินเข้าไปเป็นก็ตาม อีกอย่างพรรคจัดวางตัวเองอยู่ฝ่ายก้าวหน้า มีอุดมการณ์ สส.ยังถูกซื้อขายมากเป็นลำดับต้นๆ นอกจากนี้การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านกับรัฐบาลยังไม่ทำอย่างสุดตัวตามที่ควรจะเป็นเลย"

อีกทั้งกล่าวว่า ประเทศไทยเสียเวลา เสียโอกาสจากการเมือง การปกครองที่ผิดพลาดมายาวนาน และไม่เคยคิดจะแก้ไข แต่นักการเมืองกลับแสวงหาอำนาจกัน โดยไม่คิดทำหน้าที่อย่างรัฐบุรุษที่คิดถึงอนาคตของชาติมากกว่าคิดแต่เรื่องตัวเอง ดังนั้น ในวันนี้จึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว ถ้าทุ่มเทการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นแค่เรื่องเดียวก่อน คงทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ และต่างชาติพร้อมมาลงทุนในประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจให้ดีโดยอัตโนมัติได้

เมื่อการเมืองคิดกันแบบง่ายๆ มีอำนาจแล้วเอาแต่โยกย้ายอธิบดีออกจากตำแหน่งเปิดทางให้คนของฝ่ายตัวเข้ามามีอำนาจ หากอีกฝ่ายมีอำนาจกลับมาก็เอาคืนกันอีก การเมืองแบบนี้ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้นเลย ดังนั้น การย้ายอธิบดีในกระทรวงมหาดไทยไม่ได้หมายความว่า จะทำให้ชนะเลือกตั้งได้เสมอไป แต่สิ่งสำคัญ เมื่อการเมืองบิดเบี้ยว หนทางข้างหน้าจึงหาความหวังไม่ได้

"ถ้ามานั่งเป็น รมต.มหาดไทยแล้วจะทำให้ชนะการเลือกตั้ง ถ้าเชื่อเช่นนี้ก็ยุบสภาเลย ซึ่งผมรู้ว่าเขาไม่ยุบหรอก แค่หาเสียงเรื่องคลิป เรื่องกาสิโนก็ตายคาสนามเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น เมื่อการเมืองโกหก ปลิ้นปล้อนทำให้ประชาชนหลงเชื่อจึงเป็นอันตรายของชาติอย่างยิ่ง"

ประเทศไทยต้องมาก่อน