นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ รวม 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว นอกจากจะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงผ่านการสร้างงานแล้ว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยในในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนด้วย
สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 34 โครงการ (7,986 รายการ) วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น
- โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ : ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 8 โครงการ (2,881 รายการ) วงเงิน 39,136 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค 2) การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3) พัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4) พัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝน สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับฤดูแล้ง และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน พื้นที่ได้รับการป้องกันน้ำท่วมหรือการชะล้างพังทลายของดิน 191,167 ไร่ และสามารถกระจายน้ำไปยังชุมชนและพื้นที่ต่างๆ ผลิตน้ำเพื่อสนับสนุนภาคเกษตรในพื้นที่ทั่วประเทศ พัฒนาและปรับปรุงระบบน้ำประปา ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร ในภาพรวมมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน
- โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม : ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 26 โครงการ (5,105 รายการ) วงเงิน 45,864 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) ปรับปรุงและพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง 2) เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง 3) พัฒนาโครงข่ายส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรม 4) ปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย 5) แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับ 6) แก้ไขปัญหาจราจร พื้นที่คอขวด และพื้นที่ขาดความเชื่อมโยง
คาดว่า จะสามารถพัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน
2. ด้านการท่องเที่ยว ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 420 โครงการ (922 รายการ) วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่
1) ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง 2) พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว 3) พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ และ 4) กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง
คาดว่าจะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 7.6 ล้านคน
3. ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ (10 รายการ) วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
- ด้านการเกษตรผ่านการพิจารณา 4 โครงการ (4 รายการ) วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี
- ด้านแรงงาน ผ่านการพิจารณา 1 โครงการ (1 รายการ) วงเงิน 10,000 ล้าน บาท ช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ซึ่งสนับสนุนการจ้างงานประมาณ 1 แสนคน
- ด้านดิจิทัล ผ่านการพิจารณา 5 โครงการ (5 รายการ) วงเงิน 962 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย
4. ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ ข้อเสนอโครงกาฯ ผ่านการพิจารณา 17 โครงการ (21 รายการ) จำนวน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท และ (3) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การอนุมัติข้อเสนอโครงการฯ เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเท่านั้น ในขั้นตอนการขอรับการจัดสรรและการเบิกจ่ายงบประมาณ จะต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เงินที่ลงทุนสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของวงเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท และคาดว่าจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4%