นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อ 22 มิ.ย.2568 โดยระบุถึงการสำแดงพลังแผ่นดินรักชาติบ้านเมือง ปกป้องอธิปไตยไทยในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นั้น จะเป็นบทพิสูจน์ใจคนไทย 67 ล้านคนครั้งสำคัญว่า จะมารวมพลังเกิน 2 แสนคนหรือจะนอนอยู่บ้านเพื่อยอมอับอายกัมพูชาที่ชุมนุมกันมากถึง 1.5 แสนคนทั้งที่เขามีคนเพีนง 17 ล้านคน และถ้าคนไทยมาน้อยพวกเราก็หน้าแตกเท่านั้นเอง
“เราต้องการวัดใจประชาชนเหมือนกันว่า คนไทยจะอายกัมพูชามั้ยในเรื่องการสำแดงพลัง เรื่องความรักชาติ ของเขารัฐร่วมทำ แต่ของเรารัฐขัดขวาง ถ้าประชาชนมาร่วมสำแดงพลังปกป้องแผ่นดินเกิน 2 แสนคนแล้ว เราก็มีความหวังเหมือนกันแล้วว่า ประชาชนได้ทำหน้าที่ของประชาชนอย่างสมบูรณ์ในประเทศนี้แล้ว”
อีกทั้งกล่าวว่า การสำแดงพลังครั้งนี้ใช้ชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย” ขณะนี้มีความพร้อมไปอย่างมากแล้ว โดยเรามุ่งเน้นจะไม่ขนคนมาร่วมชุมนุมสำแดงพลังสักคน ปล่อยให้เป็นความสมัครใจของประชาชนกันเอง
อย่างไรก็ตาม วันพรุ่งนี้ (23 มิ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, อ.แก้วสรร อติโพธิ และนายนิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา) จะร่วมกันเปิดบัญชีเฉพาะงานนี้ เพื่อให้ประชาชนร่วมบริจาคสมทบทุนจัดงานรักชาติให้คนไทยได้สำแดงพลัง และยังเป็นการบอกถึงท่อน้ำเลี้ยงมาจากไหน ซึ่งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินร่วมบริจาคมาแล้ว 5 แสนบาท
“การชุมนุมวันนั้น (28 มิ.ย.) เมื่อจบลง (เวลา 21.00 น.) บัญชีบริจาคจะปิดทันที่ และจะแจ้งยอดรายรับรายจ่ายในคืนนั้น หรือเป็นวันรุ่งขึ้น เมื่อเงินบริจาคของประชาชนเหลือจากการจัดงานสำแดงพลังแผ่นดินเท่าไร จะนำไปบริจาคให้กองทัพภาค 2 ทั้งหมด”
นายจตุพร กล่าวว่า ประชาชนมาแสดงพลังแผ่นดินวันที่ 28 มิ.ย.นั้น ถ้ารัฐบาลรักชาติบ้านเมืองต้องไม่ขัดขวาง แม้คนที่มาชุมนุมไม่ชอบหน้านายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ก็ตาม แต่พวกเขาก็รักชาติบ้านเมืองและต้องการป้องอธิปไตย
พร้อมทั้งยืนยันว่า ประชาชนมาสำแดงพลังปกป้องแผ่นดินไม่เหมือนการชุมนุมทางการเมืองทั่วไปที่ต้องสู้กันด้วยตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงการรักชาติบ้านเมือง ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความร่วมมือมากกว่าจะทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางประชาชนที่รักชาติ
"ถ้ารัฐบาลขัดขวาง ต้องเข้าใจว่า กลุ่มรวมพลังแผ่นดินไม่ได้กลัวรัฐบาลเลย ถ้ากดดันกันมากๆ บอกไว้ก่อนเลยว่า น้ำหน้ารัฐบาลแบบนี้ใครจะกลัว ถ้ายังขัดขวาง ครั้งหน้าจะชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล”
ส่วนการประชุมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง 8 ตำแหน่ง จึงมาหารือแบ่งสมบัติกัน โดยหัวหน้าบางพรรคไม่สนใจว่า ใครเคยพูดไว้อย่างไร ซึ่งบ้านเมืองนี้สกปรกโสมมจนกระทั่งคิดว่าจำนวนเสียงจะลากรัฐบาลอยู่ต่อไปได้ และพรรคเพื่อไทยยังมั่นใจว่า แม้ผ่านงบประมาณ 69 แล้ว ก็ไม่ยุบสภา แต่รัฐบาลต้องอยู่ต่อไป ดังนั้น ขอให้รัฐบาลยืนให้แข็งๆ กันเข้าไว้
สิ่งสำคัญ ถ้านายกฯ รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว ต้องตัดสินใจขอโทษประชาชนแล้วลาออกก่อน แต่นี้กลับมาพูดแค่ขออภัยเพื่ออยู่ต่อ จึงทำให้ความฉิบหายของชาติไปไกลมากถึงขั้นมาร่วมประชุมแบ่งสมบัติรัฐมนตรีท่ามกลางเสียงสาปแช่งของคนไทย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลจะเดินต่อไปนั้น นอกจากมีปัญหาดินแดนแล้ว ความกดดันจะมากขึ้นตามลำดับ อีกอย่างมีการสงสัยว่า ปัญหาจริงๆ ที่ซุกซ่อนไว้ก่อนมีคลิปเสียงนายกฯ หลุดนั้น คือเรื่องอะไร เพราะการพูดให้ช่วยหน่อย และอยากได้อะไรบอกมา มันเป็นยิ่งกว่าเข็มทิ่มปักอกคนไทย
นอกจากนี้ แม้การตั้งรัฐบาลโดยคิดจะยู่ยาวก็ให้คิดไป แต่มีข่าวสะพัดว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊ง จะควบ รมว.กลาโหม เสียเอง เพราะถ้าศาล รธน.สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ตำแหน่งนายกฯ ก็ยังทำหน้าที่รัฐมนตรีได้ ซึ่งมีกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นกรณีศึกษาได้ทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ส่วนตำแหน่งนายกฯ ศาลสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ดังนั้น จึงไม่ควรประมาทว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ควบ รมว.กลาโหม จะเป็นไปไม่ได้
นายจตุพร กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะอยู่ต่อนั้น ช่างเป็นเรื่องสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง ถ้าพูดหยาบๆ เท่ากับเข้าทางตีนประชาชน เพราะเวลานี้ประชาชนเริ่มลุกขึ้นมาทั้งประเทศแล้ว และวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย. เวลา 4 โมงเย็นนั้น ถ้าพี่น้องมาก่อนจะมีวงดนตรีวัฒนธรรมของประชาชนบรรเลงรอรับ ส่วนงานสำแดงพลังปกป้องแผ่นดินเริ่ม 4 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม
พร้อมกับยืนยันว่า ถ้านักการเมืองมีความรักชาติบ้านเมือง และมีความปรารถนาจะมาร่วมในฐานะประชาชน ยินดีเลยกับการมาร่วมปกป้องอธิปไตยของชาติ ปัญหาว่า คุณกล้ามากับประชาชนหรือเปล่าในการแสดงออกอย่างมีพลังกับการรักชาติบ้านเมือง
ส่วนกองเชียร์รัฐบาลปลุกปั่นว่า คนมาชุมนุมจะมีการรัฐประหารนั้น เป็นความเห็นที่เฮงซวยที่สุด เพราะหมายความว่า ประชนจะชุมนุมฟาดนายกฯ ที่พูดในคลิปอย่างนั้นไม่ได้ เพราะกลัวรัฐประหาร ถ้าอย่างนั้นก็นอนอยู่ที่บ้านไปเถอะ
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงคลิปเสียงหลุดของนายกฯ อุ๊งอิ๊งว่า แม้นายกฯ มีสิทธิ์ที่จะโทรหาสมเด็จฮุนเซนก็ตาม แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น เมื่อเขาใช้สิทธิ์พูดอย่างนั้น ก็หมดสิทธิ์เป็นนายกฯ ตั้งแต่บัดนั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม บรรดากองเชียร์ที่อยากได้ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ต้องบอกรัฐบาลไปรอด และอ้างนโนบายหลายเรื่องต้องทำ ทั้งที่ที่ผ่านมาเป็นปียังไม่ทำตามนโยบายสักอย่างเลย
ประเทศไทยต้องมาก่อน