ธนาคารกสิกรไทย [KBANK] มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสำหรับวันที่ 23-27 มิถุนายน 2568 ที่ระดับ 32.40-33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม กนง. ปัจจัยการเมืองในประเทศ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า และสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพฤษภาคม ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2568 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนมิถุนายน ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ด้วยเช่นกัน
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าเกือบตลอดสัปดาห์สอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่ลากยาวต่อเนื่องระหว่างอิหร่านและอิสราเอล และสัญญาณจากประธานเฟดที่สะท้อนว่า เฟดอยู่ระหว่างรอประเมินผลกระทบจากภาษี และยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและ dot plot ใหม่ของเฟด ยังบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มลดจำนวนรอบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้า (แม้ผลการประชุมรอบนี้ เฟดจะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% และ dot plot สะท้อนโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ตามเดิมก็ตาม)
ทั้งนี้ เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือน (นับตั้งแต่ 22 พ.ค. 2568) ที่ 32.94 ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาตามภาพรวมสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ช่วงท้ายสัปดาห์ หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเลื่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับการเข้าแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านออกไป
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (13 มิ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 9,727 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 13,248 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 1,609 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 11,638 ล้านบาท)