นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อ 16 มิ.ย.2568 ถึงสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกฯ กัมพูชา ได้เตือนให้แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและนึกถึงไมตรีตอนขอลี้ภัยไปอยู่ ไปกินที่กัมพูชา ว่า ตนไม่เคยหนีจากประเทศไทยไปลี้ภัยไปกัมพูชา
“ผมไม่ใช่ผู้ลี้ภัย (ไปกัมพูชา) อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบปี 53 ขณะนั้นผมเป็น สส. ยังทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจนเสร็จสิ้น แต่มีการแนะนำให้ผมหนี ซึ่งไม่เคยหลบหนี แม้รู้ข่าวจากมิตรไมตรีจากฝ่ายกัมพูชาได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้รอรับที่ชายแดนทุกครั้งที่มีการยื่นถอดถอนประกันตัว แต่ผมไม่เคยไปสักครั้งเลย”
นายจตุพร กล่าวว่า กระทั่งวันหนึ่งทักษิณ ชินวัตร โทรมาบอกให้ไปพบสมเด็จฮุนเซน ซึ่งอยากจะเจอกันสักครั้ง ตนจึงไปตามคำสั่ง เมื่อไปเจอกันที่บ้านสมเด็จฮุนเซน และได้พบกับฮุนมาเนต และคนในตระกูลฮุนเซน รวมทั้งคนไทยอีก 2 คนร่วมพูดคุยด้วยสัมพันธภาพที่ดีกันเสมอๆ และตนไม่เคยคาดคิดว่า ถ้าตระกูลชินวัตร เป็นนายกฯ จะมีปัญหาเรื่องดินแดน
นายจตุพร กล่าวว่า ความสัมพันธ์ต้องแยกผลประโยชน์ส่วนตัวกับของชาติ โดยเฉพาะบูรณภาพเรื่องดินแดน ถ้าไม่สามารถแยกกันได้ ตนก็เหมือนคนขายชาติ ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็เช่นเดียวกัน แต่ต้องยกเว้นเรื่องแผ่นดิน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมเด็จฮุนเซนกับนายกฯ ฮุนมาเนต แสดงออกนั้นก็เป็นรื่องชาติบ้านเมือง ดังนั้น เราต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกให้ได้ เพราะชาติต้องเป็นเรื่องหลัก คนกัมพูชาก็รักชาติของเขา ตนเป็นคนไทยมีหน้าที่รักษาชาติบ้านเมืองเช่นกัน ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวยังดำรงอยู่เสมอ
"ในขณะนั้น (ปี 53) ถ้าทักษิณสารภาพเหมือนยื่นถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดินหลังกลับมาไทย (ในปี 66) เหตุการณ์กรณีปี 53 ก็คงไม่เกิดขึ้น คงไม่มีคนตาย คนเจ็บ ไม่มีคนสูญสิ้นอิสรภาพ และผมยังมีคดียาวเป็นหางว่าวอยู่ในขณะนี้”
นายจตุพร กล่าวถึงไปกัมพูชาอีกว่า ในช่วงนั้น การพบกับสมเด็จฮุนเซนมีหลายครั้ง และบ่อยครั้งทักษิณ มาร่วมวงพูดคุย แล้วยังมีคนไทยคนอื่นด้วย สมเด็จฮุนเซน เล่าเรื่องราวชีวิตการต่อสู้ของตัวเองเพื่อปลดปล่อยกัมพูขาจากขบวนการอำนาจเขมรแดง ต้องจากลูกคือ ฮุนมาเนตตั้งแต่เล็กๆ และยังเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุนเซนเรียกตนทุกคำพูว่า ไอ้น้องชาย ซึ่งตนก็ให้เกียรติเช่นกัน โดยเรียกฮุนเซนว่า สมเด็จ
"ที่เล่าให้ฟังนั้น สมเด็จฮุนเซนและฮุนมาเนต เป็นคนกัมพูชา ซึ่งเราแต่ละชาติจะรักชาติอื่นมากกว่าชาติเราไม่ได้ ส่วนความรักในฐานะมนุษยชาติพึงรักกัน และคุยกันได้หมด ยกเว้นเรื่องบูรณภาพเรื่องดินแดน เรื่องอำนาจอธิปไตยในดินแดนนั้นๆ ซึ่งเป็นจุดยืนของนักต่อสู้ทั้งหลายที่ต่อสู้กันมา"
พร้อมทั้งย้ำว่า ตนไม่เคยอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย ความจริงไม่ใช่เฉพาะกัมพูชาเท่านั้น แม้มีหลายพื้นที่ติดต่อให้ไปอยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์ปี 53 แม้มีการข่าวที่คนนำมาบอกให้ระวังตัวเพราะถูกตามฆ่า แต่ตนเลือกหนทางเสี่ยงตายอยู่ในประเทศไทย
จนมาถึงวันนี้ สิ่งสำคัญ การพูดของผมถึงสมเด็จฮุนเซน ทั้งบนเวทีอภิปราย หรือจัดรายการ และให้สัมภาษณ์สื่อ ผมให้เกียรติสมเด็จฮุนเซนเสมอและแยกผลประโยชน์ชาติกับเรื่องส่วนตัวที่ดีต่อกัน รวมทั้งยังเคารพน้ำใจที่ดูแลหมู่มิตรไปอยู่ในกัมพูชาที่ผ่านมาและขณะนี้ก็ยังมีอยู่
นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์ในไทยปัจจุบันว่า ตนยืนอยู่ตรงข้ามกับทักษิณ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในไทย แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหากับกัมพูชาอีก แม้หลายคนแสดงความห่วงใย แต่หน้าที่ของเราจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ หากยังเกิดบนแผ่นดินไทยก็ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนี้ ดังนั้น ในวันนี้ สิ่งที่ตนทำตลอดเวลา คือ เรียร้องให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกฯ ของไทยให้สมกับความภาคภูมิใจ
สิ่งสำคัญ วันนี้ (16 มิ.ย.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี ได้นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ทหารที่อยู่ชายแดน เพราะสถาบันหลักของชาติย่อมรู้ถึงหัวใจ จิตใจของคนไทย และประเทศที่มีประวัติศาสตร์เสียดินแดนถึง 14 ครั้ง ซึ่งเสียไปกว่าที่เหลืออยู่
ดังนั้น ในสถานการณ์พิพาทดินแดนกับกัมพูชา ย่อมทำให้คนไทยเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่า เราจะเสียอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว อารมณ์เช่นนี้รัฐบาลควรสำเหนียกว่า ความกังวลนั้นได้พัฒนาไปไกลอย่างมากแล้ว ยกเว้นนายกฯ จะเป็นคนไม่รู้สึกรู้สาเท่านั้นเอง
อีกทั้งวิจารณ์ นายกฯ ว่า การแสดงออกด้วยท่วงทำนองที่ดูเบามาตลอดนั้นมันไม่ใช่ แต่ต้องรู้เป็นเบื้องต้นกับการประชุมทวีภาคีเจบีซี (JBC) เพราะผู้นำกัมพูชาครองอำนาจมาถึง 42 ปีย่อมมีทักษะในการเคลื่อนไหวอารมณ์ของคนในประเทศเขา ยิ่งมาเลือกเอาวันที่เขาชนะกรณีปราสาทเขาพระวิหารในศาลโลก เป็นวันประชุมวันสุดท้ายและยังเลือกแถลงผลการประชุมเจบีซีก่อน ขณะที่ไทยนัดในวันนี้ (16 มิ.ย.)
อย่างไรก็ตาม คำแถลงขอกัมพูชา โดยเฉพาะสร้างกระแสว่า ไทยยอมรับเส้นเขตแดนอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถืออยู่ ไม่ใช่อัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ที่ไทยยึดมั่น กระทั่งตกดึกกระทรวงการต่างประเทศไทยต้องรีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธ ซึ่งแสดงถึงความล่าช้าของไทยที่สื่อสารสู้กัมพูชาไม่ได้
"ทั้งที่การประชุมก็พร้อมกัน เสร็จการประชุมก็พร้อมกัน แต่ปฏิบัติการข่าวสารของไทยนี่โง่บัดซบ ล่าช้าเกิดความเสียหาย จนนายกฯ ต้องเลิกภารกิจอื่น ทั้งไม่ประชุม สมช. หรือสัมภาษณ์นางงาม แล้วมาสัมภาษณ์สื่อมวลชนในสถานการณ์บ้านเมืองแทน"
อย่างไรก็ตาม คำพูดของนายกฯ ดูเหมือนจะรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง แต่ผู้นำโลกหรือทั่วไปที่พูดในสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ท่ามกลางวิกฤตนั้น จะเน้นให้หัวใจของคนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอนเราไม่ได้กระหายสงคราม แต่สิ่งสำคัญการเจรจาในเรื่องบูรณภาพดินแดนจะเกิดความเสมอภาพขึ้นมาได้
นายจตุพร เชื่อว่า ท่ามกลางวิกฤตข้อพิพาทดินแดนนั้น ประเทศต้องมีความแข็งแรงทั้งรัฐบาล กองทัพ และประชาชน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลอ่อนแอ ขณะที่กองทัพกับประชาชนแข็งแรง เราก็เกิดความเสียหาย ส่วนกัมพูชาแสดงออกจนครบอย่างแข็งขันทั้ง 3 ส่วนนี้
อีกทั้งย้ำว่า ตำราพิชัยสงคราม เป็นที่รับรู้กันว่า สุดยอดที่สุดของการรบคือไม่รบ เมื่อแต่ละฝ่ายกดดันด้วยยุทธวิธีต่างๆ จนแต่ละประเทศมีความเดือดร้อน และเสียหายกันมากๆ ในที่สุด การเจรจาด้วยความเสมอภาคจะบังเกิดขึ้น ถ้าไทยยังใช้มาตรการอ่อนแออยู่ เขาจะไม่แยแสเลย
อย่างไก็ตาม ตนจึงเข้าใจกัมพูชาว่า ภายใต้สถานการณ์นี้ต้องปลุกความเป็นชาตินิยมขึ้นมา และเข้าใจว่า คนไทยก็ไม่ยอมเหมือนกันกับอารมณ์ความสูญเสียต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีก ดังนั้น ระหว่างความสัมพันธ์ การยอมรับนับถือต่อกันจึงเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่เรื่องความรักชาติบ้านเมืองต้องแยกออกจากกัน
"ที่เป็นปัญหาและคนคาใจรัฐบาลจนมีการตั้งคำถามว่า ระหว่างผลประโยชน์ชาติกับผลประโยชน์ส่วนตัวอะไรที่มันเหนือกว่ากัน ถึงวันนี้ความรักชาติของแต่ละชาติไม่มีอะไรผิดหรอก เพียงแต่ว่า รัฐบาลที่ไม่รักชาติอย่างที่ไม่ควรจะเป็น นั่นละคือความเสียหาย"
นายจตุพร หวังว่า สถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลายขึ้น ส่วนการเมืองในกัมพูชา จำเป็นต้องสร้้างกระแสชาตินิยม ไม่เช่นนั้นภายในประเทศของเขาคงเอาไม่อยู่เช่นกัน เพราะคนกัมพูชาเมื่อเกิดกระทบกระเทือนจิตใจ เขาจะไปเร็วมาก ส่วนฝ่ายค้านก็เอาแต่ยุแหย่ปั่นกระแสให้มากขึ้น กรณีการเผาสถานทูตไทยในกัมพูชาเกิดขึ้นเป็นตัวอย่างมาแล้ว
ขณะที่รัฐบาลไทย ยุดมั่นหลักคิด จุดยืนกับสถานการณ์นั้นได้ แต่การสื่อสารให้คนไทยวางใจรัฐบาลและกองทัพไม่ได้ ที่สำคัญภายในประเทศรัฐบาลกลับแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกันอีก แล้วยังจะเน้นทำบ่อนกาสืโนจนใจแทบขาด ซึ่งตำแหน่งรัฐมนตรีที่แย่งกันยังเกี่ยวพันกับการทำบ่อน และเรื่องที่ดินให้ต่างชาติเช่า 99 ปี
ไม่เพียงเท่านั้น ท่ามกลางบ้านเมืองมากด้วยปัญหา เศรษฐกิจปากท้องพังพินาศย่อยยับ แล้วยังมาสุ่มเสี่ยงเรื่องดินแดนกันอีก แต่เรายังไม่เห็นวี่แววความพยายามแก้ไขปัญหาของรัฐบาล สิ่งสำคัญเรากลับมาถึงจุดที่ต้องลุ้นผู้นำกันทุกวันว่า การพูดโดยไม่เข้าใจเลยและการแสดงออกยังสวนทางกับสถานการณ์ของบ้านเมือง
"มาถึงขณะนี้ ผมบอกได้ว่า ไม่ได้ใจน้้น ทั้งที่ (สถานการณ์พิพาทดินแดน) ควรจะได้ใจคนไทย ถ้าทำในสิ่งที่ตรงกับใจของคนไทย ขอเรียนย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องกระหายสงคราม ไม่ใช่เรื่องการเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร แต่เป็นการรักษาไว้ซึ่งชาติที่เป็นเอกราช ไม่ให้อดีตการเสียดินแดนจากการทำแผนที่เอาเปรียบและทำลายไทยอยู่ทุกครั้งคราวได้ย้อนกลับมาอีก"
ประเทศไทยต้องมาก่อน